วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อาหาร GMO กับความเสี่ยงในชีวิตมนุษย์


ใครๆ ต่างกล่าวขานถึงเทคโนโลยีชีวภาพจะมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 นี้ ประโยชน์ของมันถูกใช้ในหลายๆ วงการ ได้แก่ ทางการแพทย์ พลังงาน สิ่งแวดล้อม เกษตร อาหาร อาวุธ ฯลฯ ทุกวงการก็คงมุ่งหวังการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาเดิมๆที่ไม่อาจแก้ไขได้หรือมีการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ แต่วงการที่กระทบกับชีวิตมนุษย์โดยตรงก็คงไม่พ้นเรื่องอาหารการกินซึ่งก็สืบเนื่องมาจากการใช้ในทางการเกษตรด้วย ซึ่งก็มักมีการคิดค้นต่อยอดหลักการพันธุวิศวกรรมจนได้ผลิตภัณฑ์มากมายที่ตอบโจทย์ปัญหาทางการเกษตร สร้างพันธุ์พืชที่ทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ แมลงศัตรูพืช ทนต่อสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เพิ่มผลผลิตจำนวนมาก สร้างคุณค่างทางโภชนาการ รักษาสภาพความสดหลังการเก็บเกี่ยว ฯลฯ
            เทคโนโลยีดังกล่าวพัฒนาไปอย่างรวดเร็วในวงการธุรกิจ ซึ่งธุรกิจยังไงเสียก็คือธุรกิจวันยันค่ำ หาใช่องค์กรการกุศล ธุรกิจที่จะยืนอยู่ได้ต้องมีวิสัยทัศน์คาดการณ์อนาคตได้ไกล สามารถปรับตัวให้ทันกระแสผู้บริโภคและยิ่งถ้าเป็นผู้นำหรือสามารถกำหนดพฤติกรรมผู้บริโภคได้ก็จะทำให้ธุรกิจยั่งยืน และเป้าหมายหลักของการประกอบธุรกิจก็คือผลกำไร แน่นอนว่าเหล่าบริษัทที่ทำธุรกิจด้านเทคโนโลยีชีวภาพก็คิดค้นผลิตภัณฑ์ของตัวเองขึ้นมาดึงดูดลูกค้าและโฆษณาให้เกิดปัญหาหรือความจำเป็นที่ต้องซื้อสินค้าและเป็นปกติวิสัยว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้สามารถขายสินค้าได้ โลกนี้ช่างมีแต่เรื่องของธุรกิจแม้แต่กับรัฐบาล ไม่น่าแปลกเลยที่ประชาชนทั่วสหรัฐอเมริกาต่างเรียกร้องให้ติดฉลากสินค้าที่มีส่วนประกอบมาจากวัตถุดิบ GMO แต่ทำไมการผลักดันกฎหมายนานกว่า 10 ปียังไม่ประสบผลสำเร็จจนถึงทุกวันนี้ ประเทศที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าก็ใช่จะมีแต่เรื่องดีๆ ตรงกันข้ามกลับมองว่าประชาชนในสหรัฐอเมริกาเหมือนเป็นหนูทดลองที่ถูกให้อาหาร GMO แทบทุกวัน แล้วในระยะยาวผลที่มีต่อสุขภาพจะเป็นอย่างไร จะมีอุบัติการณ์โรคใดเพิ่มสูงขึ้นหรือมีโรคอุบัติใหม่บ้างหรือไม่ เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมกรรมผลิตคอร์นไซรัปที่เจริญดีและเป็นที่นิยมบริโภคในร้านแมคโดนัลด์ รวมถึงการนิยมใช้ไขมันทรานซ์ในผลิตภัณฑ์ในยุคก่อนหน้านี้ซึ่งนั่นได้ทำให้ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศมีปัญหาโรคอ้วนและความเสี่ยงต่อโรคหัวใจโดยมีสภาพการณ์ที่เห็นได้ชัดเจนเมื่อเทียบกับผู้คนในประเทศอื่นๆ
            หลังจากได้ดูวีดีโอ Monsanto GMO มีความสงสัยการชี้บ่งข้อความ “Biodegradable” ที่ระบุไว้ข้างขวดของผลิตภัณฑ์ยาฆ่าหญ้า Roundup ว่าจะเชื่อถือได้ตามนั้นจริงหรือไม่http://articles.mercola.com/sites/articles/archive/2012/01/15/dr-don-huber-interview-part-2.aspx
เว็บไซต์ดังกล่าวได้อธิบายว่าในปี 2009 ประเด็นดังกล่าวได้ถูกศาลของประเทศฝรั่งเศสตัดสินว่าเป็นโฆษณาที่หลอกลวง และโดยข้อมูลจาก School of Public Health at the University of California, Berkeley http://www.organicconsumers.org/monad.html ต้องใช้เวลานาน 7 ปีกว่าจะรวบรวมข้อมูลที่มีน้ำหนักเพียงพอจนสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับผลิตภัณฑ์ของมอนซานโต้ โดยข้อมูลดังกล่าวได้สรุปว่าสารออกฤทธิ์ glyphosate ในผลิตภัณฑ์ที่รวมถึง roundup ทำให้เกิดการเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากการใช้ยาฆ่าแมลงของเกษตรกรสูงเป็นอันดับที่ 3 โดยมอนซานโต้ยอมรับที่จะเปลี่ยนแปลงการโฆษณาดังกล่าวในนิวยอร์ค และยอมจ่ายเงิน 50,000 เหรียญเพียงเพื่อไม่ต้องการให้เกิดคดีความ แต่ยังยืนยันว่าโฆษณาของตนถูกต้องและไม่ได้ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและไม่ได้ทำผิดกฎหมายท้องถิ่น รัฐหรือสหพันธรัฐแต่อย่างใด นั่นหมายความว่าบริษัทไม่ได้ดำเนินการดังกล่าวในรัฐอื่นๆ ใช่หรือไม่
            บริษัทเร่งงานวิจัยเพื่อปล่อยสินค้าออกจำหน่ายโดยไม่มีการวิเคราะห์ผลกระทบต่างๆ ให้เพียงพอแม้แต่ผลกระทบต่อตัวผลิตภัณฑ์เอง ดังเช่น กรณี roundup ready soybean http://articles.mercola.com/sites/articles/archive/2012/01/15/dr-don-huber-interview-part-2.aspx
โดยมีการพบว่าการใช้สารออกฤทธิ์ glyphosate ทำลายเชื้อแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในดินซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคเพิ่มจำนวนขึ้นและมีการพัฒนาความรุนแรงของการก่อโรคด้วย โดยมีการพบเชื้อรา fusaria ที่ทำให้เกิดโรค “Sudden death syndrome” มากถึง 500% ที่ส่วนรากของต้นถั่วเหลือง
            บริษัทมีอิทธิพลต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐชนิดที่ว่าไม่สนใจที่จะดำเนินการใดๆ เพื่อทำให้ประชาชนได้ทราบข้อมูลที่แท้จริงที่เป็นแนวโน้มการก่ออันตรายต่อผู้บริโภคโดยสิ้นเชิงทั้งๆ ที่มีข้อมูล ผลการศึกษาและอุบัติการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น โดยกลางปีที่แล้วมอนซานโต้ได้เดินหน้าออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็นข้าวโพดหวานที่มีการใส่ทั้งยีนจาก BT-toxin และยีน Roundup ready โดยการอนุมัติของ EPA (Environmental Protection Agency) ทั้งๆ ที่ทราบข้อมูลต่างๆ มากมายว่า Bt-toxin แสดงพิษร้ายทัดเทียมกับ cholera toxin จากผลการทดสอบในหนู mice แม้กระทั่งทำปฏิกิริยากับอาหารอื่นซึ่งไม่เคยก่ออันตรายมาก่อน อุบัติการณ์ในคนก็พบคนงานฟาร์มมีการตอบสนองต่อ Bt-toxin ทางระบบภูมิคุ้มกัน และผู้คนกว่า 500 คนในวอชิงตันและแวนคูเวอร์แสดงอาการแพ้และมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่เมื่อสัมผัสสารโดยการสเปรย์เมื่อใช้มันฆ่าผีเสื้อ ทั้งๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ของ EPA ก็ออกมายอมรับว่าสารดังกล่าวสามารถแสดงศักยภาพเป็น antigen และสารก่อภูมิแพ้ได้แต่ก็ทำเป็นมองข้ามข้อมูลดังกล่าวไป
            แม้แต่ในคนที่รับประทานอาหารปกติชาวแคนาดาก็ถูกตรวจพบ Bt-toxin ในเลือดทั้งผู้ใหญ่และเด็กเกิดใหม่ จึงมีข้อสงสัยว่าจะปนเปื้อนมากับอาหารที่ใช้เลี้ยงปศุสัตว์และแน่นอนว่าสารดังกล่าวก็สามารถถูกถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกโดยผ่านทางรกซึ่งก็มีรวบรวมหลักฐานอย่างต่อเนื่องตลอดมาตั้งแต่มีการเริ่มปลูกพืชที่มียีนของ Bt-toxin ตั้งแต่ปี 1996
            มีการศึกษาการตรวจสุขภาพในคน พบว่าคนที่แม้จะเคยทานอาหาร GMO แม้เพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่ยีนจาก roundup ready soybean ที่ได้มาจากยีนของแบคทีเรียที่มอนซานโต้พบที่กองขยะสารเคมีซึ่งมีความทนทานต่อ roundup นั้น สามารถถูกถ่ายทอดไปยัง DNA ของแบคทีเรียในทางเดินอาหารของคนนั้นได้ ซึ่งก็จะยังคงอยู่ต่อไปแม้จะไม่ได้ทานอาหาร GMO แล้วก็ตาม แบคทีเรียดังกล่าวนี้ถูกเรียกว่า “roundup ready gut bacteria” เป็นการเรียกชื่อเหมือนประชดประชันแต่ก็ถูกต้องสมเหตุสมผลดี และหากมันเป็นสารแปลกปลอม สารก่อภูมิแพ้นั่นก็เท่ากับว่าเรามีการผลิตสารดังกล่าวขึ้นในตัวตลอดเวลาก็จะทำให้เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
            มีการตั้งรับหาหลักฐานว่าหาก Bt gene อยู่ในแบคทีเรียในทางเดินอาหารของผู้คนแถบทวีปอเมริกาเหนือ คงจะมีอุบัติการณ์ การเจ็บป่วยระบบกระเพาะอาหาร  โรคแพ้ภูมิตัวเอง แพ้อาหาร ความผิดปกติในการเรียนรู้ของเด็กเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นับจากพืชที่มียีน Bt เริ่มจำหน่ายในปี 1996 มันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานกว่า 16 ปีแต่ก็คงยังไม่มีน้ำหนักพอที่จะไปงัดข้อกับมอนซานโต้ได้ ก็คงต้องเก็บข้อมูลไปอีกนานมากทีเดียว
            มุมมองต่อการใช้ชีวิตอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาดูจะไม่มีทางเลือกในการบริโภคอาหารเหมือนถูกบังคับให้ทานพืชและสัตว์ GMO มันรู้สึกเหมือนเป็นการสะสมสารพิษในร่างกายซึ่งน่าจะแย่กว่าสารพิษที่มีในอาหารต่างๆ อย่างอื่นซึ่งเราก็บริโภคได้บ้างเพราะประเทศไทยเรามีอาหารหลากหลายให้บริโภค เรื่องราวของ GMO ในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีภาพลักษณ์เป็นประเทศแห่งประชาธิปไตยและความเท่าเทียมทางสิทธิและเสรีภาพ แท้ที่จริงนั้นกลับยากลำบากมากในการต่อสู้เพื่อให้ได้สิทธิอันชอบธรรมนั้นและช่างไม่น่าภูมิใจเลยกลับสิทธิการได้ทานอาหาร GMO ถ้วนหน้าถึงกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้รู้สึกโชคดีที่ประเทศไทยยังอยู่ภายใต้องค์กรที่ดูแลสุขภาพอนามัยของประชากรในโลกอย่าง FAO/WHO แต่กระนั้นก็ไม่สามารถไว้วางใจได้เลยที่จะไม่ติดตามสถานการณ์ เพราะอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอบนโลกใบนี้เพราะความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น