“ปัจจุบันในประเทศเยอรมันนีมีการผลิตโดยทำการบรรจุใส่ขวดน้ำพลาสติกเฉพาะขึ้นมาเก็บอาหารเสริมที่เป็นผงไว้ตรงบริเวณฝาขวด
ด้านล่างเป็นน้ำ
เมื่อลูกค้าซื้อไปหมุนเปิดขวดแคปซูลที่เก็บผงอาหารเสริมไว้จะแตกออกลงไปผสมในขวด” http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1323856763&grpid=03&catid=03 เป็นคำบรรยายถึงผลิตภัณฑ์อาหารที่ใช้นาโนเทคโนโลยี
ซึ่งตามนิสัยส่วนตัวก็จะรู้สึกตื่นเต้นและก็แทบจะจองตั่วนั่งรอการเปิดตัวของผลิตภัณฑ์ถ้าหากมาขายในประเทศไทย
ทุกวันนี้เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่ามีการคิดค้นผลิตภัณฑ์โดยใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ
เกิดขึ้นแทบทุกวันเพราะประเทศผู้คิดค้นเทคโนโลยีด้วยมีประชากรนักคิดมีอยู่มากมายทีเดียว
แต่เบื้องหลังทุกสิ่งนั้นเป็นไปเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจหรือจะพูดง่ายๆ ก็คือต้องการผลกำไรนั่นเอง
ผลประโยชน์เป็นสิ่งที่แทบจะมีอิทธิพลเหนือทุกสิ่งเป็นแรงผลักดันให้ผู้ประกอบการทำทุกวิถีทางที่จะต้องยืนหยัดให้เหนือกว่าคู่แข่งขันให้ได้
วงจรการคิดค้นและผลิตสินค้าใหม่ๆจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยแทบไม่คำนึงถึงผลเสียที่อาจเกิดขึ้นจากตัวสินค้า
ซึ่งยิ่งถ้าหากเจ้าหน้าที่รัฐผู้ดูแลสวัสดิภาพของประชาชนในประเทศติดตาม ควบคุม
ดูแล สิ่งต่างๆ
เหล่านี้ไม่ทันก็อาจเป็นการปล่อยให้ผลิตภัณฑ์ก่ออันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภคได้
แต่ละประเทศก็อาจมีรายละเอียดของแนวทางการป้องกันผลกระทบของผลิตภัณฑ์ต่อผู้บริโภคที่ต่างกันไป
เช่นในประเทศสหรัฐอเมริกาที่เราทราบกันดีว่าเป็นประเทศแห่งเสรีภาพก็เป็นรูปแบบที่ให้อิสระแก่ผู้ประกอบการในการปล่อยผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดแล้วจึงใช้กฎหมายตามควบคุมหากผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อน
แต่ประเด็นของการบังคับใช้กฎหมายได้กับผู้ประกอบการนั้นถูกวางว่าต้องเห็นผลเสียที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนกับผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์
ระดับที่เรียกว่า acute toxicity และถ้าหากเป็นผลสะสมเป็นแบบเรื้อรัง
การณ์ก็กลับกลายเป็นว่าภาระพิสูจน์ความผิดกลับตกอยู่ที่ผู้บริโภคเช่นดังกรณี
แมคโดนัลล์ ที่มีผู้บริโภคหลายรายดำเนินการฟ้องร้องแต่ก็แทบจะไม่มีผลใดๆ
เลยที่จะเปลี่ยนแปลง และแมคโดนัลลก็เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมการบริโภคซึ่งเมื่อเร็วๆ
นี้ก็ได้ทราบข่าวว่า แมคโดนัลล์สั่งห้ามร้านค้าโดยรอบบริเวณเมืองลอนดอนขายมันฝรั่งด้วยทางบริษัทเป็นผู้สนับสนุนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก
ข่าวดังกล่าวตอกย้ำคำว่า “เงินทองมันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ”
แล้วประเทศที่มีนักวิจัยเก่งๆ มีงานวิจัยเยอะๆ
จะไม่ทราบชะตากรรมของผู้นิยมการทานอาหารในแบบเมนูของแมคโดนัลล์เลยเหรอ
แน่นอนว่าเป็นที่เผยแพร่ให้ความรู้ว่าอาหารดังกล่าวทำให้ประชากรอเมริกันเป็นโรคอ้วนมากถึงระดับสองในสามนับจนถึงปัจจุบัน
แล้วทำไมไม่มีแรงผลักดันใดๆ สามารถทำให้เกิดการควบคุมที่มีผลในทางกฎหมายได้เลยหรือ
มันเป็นสิ่งที่คลุมเครือซึ่งเรามักจะเรียกมันว่า “มันเป็นเรื่องของการเมือง”
นาโนเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนามานานหลายปีในประเทศสหรัฐอเมริกาก็มีสินค้าวางจำหน่ายอยู่หลายประเภครวมถึงอาหาร
ซึ่งก็เป็นเสียงจากผู้บริโภคอีกเช่นเดิมที่ต้องการให้ FDA บังคับให้มีการทดสอบความปลอดภัยและทำการติดฉลากผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องสำอางที่มีวัสดุนาโนเป็นองค์ประกอบก่อนทำการวางขายในท้องตลาด
แต่ทาง FDA กลับมีเพียงข้อเสนอที่แนะนำให้ผู้ประกอบการเข้ามาขอรับคำปรึกษาก่อนวางจำหน่ายสินค้าซึ่งแน่นอนว่าประเทศที่เต็มไปด้วยอิสระภาพเต็มพิกัดเช่นนี้ผู้ประกอบการมีหรือที่จะต้องมาดำเนินการสิ่งที่เสียเวลาโดยใช่เหตุแห่งกำไร
FDA กลับทำได้เพียงออกคำแนะนำสำหรับการทดสอบความปลอดภัยที่เป็นมาตรฐาน
http://www.nstda.or.th/nstda-knowledge/8500-science-technology-news และแนะนำให้ผู้ประกอบการมีแนวทางการปฏิบัติเพื่อให้มีการอนุมัติก่อนปล่อยผลิตภัณฑ์ออกสู่ท้องตลาด
http://www.actio.net/default/index.cfm/actio-blog/nanotech-in-food-new-fda-guidelines/ ซึ่งแนวทางการปฏิบัติที่เน้นเชิงรับมากกว่าเชิงรุกนี้อาจเป็นการชี้ชะตาชีวิตของคนบางกลุ่มให้ได้รับอันตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์
ดังเช่นที่เคยเกิดอุบัติการณ์จากไขมันทรานส์ซึ่งกว่าจะทราบแน่ชัดจนมั่นใจว่าก่อปัญหาโรคหัวใจจนดำเนินการออกกฎหมายที่เคร่งครัดก็แทบจะกล่าวได้ว่าแลกมาด้วยชีวิตของคนจำนวนไม่น้อย
ตั้งแต่เมื่อเริ่มการผลิตครั้งแรกในสหรัฐในปี 1911 ซึ่งใช้เวลานานมากกว่างานวิจัยจะได้รับการยอมรับเพื่อในไปใช้บังคับให้เป็นผลทางกฎหมายในปี
2008 โดยในปี 1994 มีการประมาณการว่ามีผู้เสียชีวิตจากไขมันทรานส์ปีละ
20,000 คน http://en.wikipedia.org/wiki/Trans_fat
ในประเทศไทยเรานั้นก็เช่นกันว่าต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ต่างๆ
รวมทั้งอาหารที่สร้างจากนาโนเทคโนโลยี ตั้งแต่ครีมกันแดดนาโน โลชั่นบำรุงผิวนาโน
ยารักษาโรคนาโน สีทาบ้านนาโน กระจกแบบนาโน
เสื้อผ้านาโน ถุงเท้านาโน ผงซักฟอกนาโน
เครื่องซักผ้านาโน โรลออนทารักแร้นาโน แป้งทาตัวนาโน ไม้เทนนิสนาโน
ลูกกอล์ฟนาโน เครื่องกรองน้ำนาโน จักรยานนาโน วัสดุก่อสร้างนาโน ฯลฯ
และจากการพบข่าวความเคลื่อนไหวในการดำเนินงานของทาง อย. ซึ่งมีงานประชุมวิชาการประจำปีในหัวข้อ
“โลกเปลี่ยน...ความเสี่ยงเปลี่ยน” ก็รู้สึกเป็นที่น่ายินดีที่ประเด็นของนาโนเทคโนโลยีได้รับความสำคัญในการนำไปพิจารณาแนวโน้มที่อาจก่อผลกระทบทั้งต่อตัวมนุษย์และสิ่งแวดล้อม http://www.thairath.co.th/today/view/196148 โดยนายแพทย์พิพัฒน์กล่าวว่า อนุภาคขนาดเล็กนั้นมีโอกาสแทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย
ผ่านทางอวัยวะและเม็ดเลือดได้ โดยเฉพาะสารนาโนบางตัวเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว
ไม่สามารถขับถ่ายออกมาได้ เมื่อเข้าไปสะสมในปริมาณมากอาจก่อให้เกิดความเป็นพิษและส่งผลเสียต่อสุขภาพ นอกจากนี้ยังมีผงซักฟอกชนิดซิลเวอร์นาโน
ซึ่งอวดอ้างว่าสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ ทั้งที่ยังไม่มีผลการศึกษาว่าเมื่อซักล้างแล้ว
ปล่อยน้ำทิ้งลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ ความเป็นพิษของโลหะเงิน (ซิลเวอร์)
จะตกค้างหรือสะสมอยู่ในสภาพแวดล้อม อาจไปสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
และห่วงโซ่อาหารได้หรือไม่ และดร. ไร เซนเจนกล่าวว่า http://www.sarakadee.com/2012/03/12/nano-product/ “การใช้นาโนเทคในอาหารอาจเป็นอันตราย
มีข้อมูลเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่าวัสดุนาโนบางชนิดผลิตอนุมูลอิสระที่จะทำลายหรือเลียนแบบดีเอ็นเอ
และสามารถสร้างความเสียหายให้แก่ตับและไตได้”
ก็ยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามกันต่อไปว่าทางอย.
และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจะมีแนวทางการดำเนินการอย่างไรในการกำหนดให้มีการทดสอบ
ประเมินอันตรายเพื่อการคุ้มครองดูแลผู้บริโภค
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น