วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ปรับพฤติกรรม....ต่อต้านมะเร็ง



เผย มะเร็งสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของคนไทย 10 ปีซ้อน

http://www.manager.co.th/images/blank.gif

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
3 กุมภาพันธ์ 2555 13:58 น.

http://www.manager.co.th/images/blank.gif

       สธ.เผยมะเร็งคุกคามชีวิตคนทั่วโลกรุนแรง ตายปีละเกือบ 8 ล้านคน ในไทยพบเป็นเหตุการตายอันดับหนึ่งของคนไทยติดต่อกันกว่า 10 ปี ล่าสุดปี 2553 ทั่วประเทศ มีรายงานเสียชีวิต 58,076 คน มากสุดจากมะเร็งตับ และป่วยเข้าโรงพยาบาลกว่า 2 แสนคนมากสุดมะเร็งลำไส้ใหญ่ แนวโน้มจำนวนเพิ่มขึ้น สั่งทุกจังหวัดเร่งป้องกัน ค้นหาผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว รณรงค์ “5 ทำ 5 ไม่ห่างไกลมะเร็ง ระบุในปี 2554 ใช้งบรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ประมาณ 5,700 ล้านบาท
http://www.manager.co.th/images/blank.gif
       วันนี้ (3 ก.พ.) ที่ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยพญ.วิลาวัณย์ จึงประเสริฐ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดงาน “4 กุมภาพันธ์ วันมะเร็งโลก จัดโดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและสมาคมมะเร็งแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เพื่อรณรงค์ให้รู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับมะเร็ง
      
       นพ.สุรวิทย์กล่าวว่า ขณะนี้โรคมะเร็งกำลังเป็นปัญหาสาธารณสุขที่รุนแรงระดับโลก เป็นภัยเงียบที่คุกคามชีวิตประชาชนที่อยู่ในวัยแรงงาน และผู้สูงอายุมากที่สุด โดยมีรายงานพบผู้ป่วยโรคมะเร็งทั่วโลกปีละ 13.7 ล้านคน เสียชีวิตปีละ 7.6 ล้านคน แนวโน้มจำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นทุกประเทศ องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ว่าในอีก 18 ปีข้างหน้า คือ ในปี 2573 จะมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ทั่วโลกประมาณ 17 ล้านคน ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก องค์การอนามัยโลกได้เรียกร้องให้ทุกประเทศ เร่งป้องกัน ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งให้เร็วที่สุด และกำหนดให้วันที่ 4 กุมภาพันธ์ทุกปีเป็นวันมะเร็งโลก (World Cancer Day) เพื่อกระตุ้นให้ทุกประเทศรณรงค์ให้ความรู้ประชาชนเพื่อป้องกันการป่วย ภายใต้หัวข้อ รวมกันย่อมเป็นไปได้หรือ Together it is possible โดยกำหนดให้ทุกประเทศลดอัตราการตายโรคมะเร็งให้ได้ร้อยละ 25 ภายในปี 2568
      
       นพ.สุรวิทย์กล่าวต่อว่า สำหรับประเทศไทย พบว่าโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายสูงอันดับ 1 ของคนไทยต่อเนื่องมานานกว่า 10 ปี ตั้งแต่ปี 2543 ประมาณร้อยละ 20 ของผู้เสียชีวิตทุกสาเหตุ ขณะนี้โครงการ 30 บาทฯ ได้จัดสิทธิประโยชน์รักษาโรคมะเร็งทุกชนิดฟรี ในปี 2554 ใช้เงินรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งประมาณ 5,700 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ร้อยละ 30-40 ของโรคมะเร็งสามารถป้องกันได้ ในปี 2555 นี้ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดโครงการรณรงค์ป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก ซึ่งพบมากเป็นอันดับต้นๆ ในผู้หญิงไทย และเป็นมะเร็งที่ตรวจพบได้ด้วยเครื่องมือง่ายๆ โดยจะตรวจคัดกรองให้ผู้หญิงอายุ 30 ปีขึ้นไปที่มีประมาณ 15 ล้านคนฟรี ใช้งบประมาณจากโครงการ 30 บาทฯ ประมาณ 500 ล้านบาท หากพบจะให้การรักษาฟรี โรคนี้หากรักษาตั้งแต่โรคยังไม่ลุกลาม จะมีโอกาสหายได้ และไม่เสียชีวิต และให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ รณรงค์ 5 ทำ 5 ไม่ เพื่อให้ห่างไกลมะเร็ง โดยให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เป็นแกนหลักดำเนินการร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุข
      
       ด้าน พญ.วิลาวัณย์ จึงประเสริฐ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ในปี 2553 ในประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคมะเร็งทุกชนิดเข้ารักษาในโรงพยาบาล 269,204 คน มากที่สุดมะเร็งลำไส้ใหญ่ 49,409 คน รองลงมามะเร็งท่อน้ำดี 40,373 คน มะเร็งเต้านม 35,654 คน มะเร็งปากมดลูก 22,115 คน และมะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์หญิง 15,713 คน มีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งทุกชนิด 58,076 คน เป็นชาย 33,659 คน หญิง 24,417 คน โดยเป็นมะเร็งตับ-ท่อน้ำดีมากที่สุด 14,008 คน รองลงมาได้แก่ มะเร็งหลอดคอ-หลอดลมใหญ่และปอด 9,310 คน มะเร็งเต้านม 2,515 คน มะเร็งปากมดลูก 1,746 คน คาดอีก 3 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ 133,767 คน และมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็ง 84,662 คน อัตราส่วนชาย-หญิงใกล้เคียงกัน
      
       
ทั้งนี้ การก่อตัวของโรคมะเร็งจะค่อยเป็นค่อยไป ไม่รู้ตัว ขอแนะนำผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรตรวจสุขภาพค้นหาความผิดปกติอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หากตรวจพบเร็วโอกาสรักษาหายจะมีสูง สัญญาณผิดปกติที่สงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งมี 7 ประการ ได้แก่ 1. มีเลือดออกหรือมีสิ่งขับออกจากร่างกายผิดปกติ เช่นตกขาวมากเกินไป 2. มีก้อนเนื้อหรือตุ่มเกิดขึ้นที่ใดที่หนึ่งของร่างกายและก้อนนั้นโตเร็ว 3. มีแผลเรื้อรังรักษาหายยาก 4. ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะผิดปกติ หรือเปลี่ยนไปจากเดิม 5. เสียงแหบหรือไอเรื้อรัง 6. กลืนอาหารลำบากหรือทานอาหารแล้วไม่ย่อย และ 7. มีการเปลี่ยนแปลงของหูดหรือไฝ หากมีอาการเหล่านี้ขอไปให้พบแพทย์โดยเร็ว
      
       วิธีการปฏิบัติตัวที่จะทำให้โรคมะเร็งไม่มาใกล้ตัวเรา มีกิจกรรมที่ควรทำ 5 ประการ คือ ออกกำลังกายเป็นนิจ ทำจิตแจ่มใส กินผักผลไม้ อาหารหลากหลาย ตรวจร่างกายเป็นประจำ และสิ่งที่ไม่ควรทำเลยมี 5 ประการ คือ ไม่สูบบุหรี่ ไม่มีเซ็กซ์มั่ว ไม่มัวเมาสุรา ไม่ตากแดดจ้า และไม่กินปลาน้ำจืดดิบ แพทย์หญิงวิลาวัณย์กล่าว

                                -----------------------------------------------------------------------------------------
                คนเราเกิดมาแล้วก็ต้องตาย คงเป็นเรื่องปกติของชีวิตมนุษย์  แล้วแต่ว่าจะจบชีวิตด้วยเหตุด้วยปัจจัยอะไร             แต่ชีวิตเราก็มีภาระหน้าที่ความผูกพันหลายอย่าง หรืออาจมีคุณค่าในการยังมีชีวิตอยู่ต่อผู้คนรอบข้างและสังคมเกินกว่าที่จะปล่อยชีวิตให้จบลงง่ายๆ หากไม่ใช่การตายด้วยอุบัติเหตุแล้ว สาเหตุอื่นๆ ล้วนมีระยะเวลาในการพัฒนาความรุนแรงหรืออาจเรียกได้ว่าเป็นการนับถอยหลังเวลาชีวิตที่เหลืออยู่
                คงเป็นเรื่องที่ทำใจได้ลำบากต่อผู้คนมากมายที่ต้องรับรู้ว่าอาหารที่กินอร่อยและเป็นของโปรดปรานมากมายสามารถแสดงบทบาทเป็นผู้ร้ายก่อโรคได้ การศึกษาวิจัยให้ได้มาซึ่งความรู้ต่างๆ เช่น อาหารใดบ้างที่ช่วยป้องกันมะเร็ง อาหารใดบ้างที่ต้องหลีกเลี่ยง หากปราศจากการนำไปเผยแพร่ให้เข้าถึงผู้คน ก็คงสูญเปล่ากับการลงทุนวิจัย ในเมื่อเป็นเรื่องใหญ่ขนาดที่ทำให้คนตายมากที่สุดเป็นอันดับ 1 เรื่องมันก็คงไม่ง่ายแน่นอน
                สำหรับประเทศไทยที่การศึกษายังไม่ทั่วถึงมากระดับที่จะพูดได้ว่า 100% ทุกคนในประเทศได้เรียนหนังสือ ส่วนคนที่เหลือก็เรียนในระดับต่างกัน มากบ้าง น้อยบ้าง นั่นก็เป็นปัจจัยพื้นฐานที่แตกต่างกันระดับตัวบุคคล แล้วเจ้าหน้าที่ของรัฐเอง เจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือบุคลากรทางการแพทย์มีประสิทธิภาพในการเผยแพร่ความรู้นี้ได้ทั่วถึงหรือไม่ และประสิทธิผลที่เกิดขึ้น ประชาชนเกิดความตระหนักตามความรู้ที่ได้ให้ไปมากน้อยแค่ไหน นอกจากสติปัญญาแล้วมันก็เป็นเรื่องของทัศนคติ อคติ ความรู้สึก ความคิดเห็น บ้างยอมรับ บ้างต่อต้าน แตกต่างกันไปตามนิสัยใจคอของผู้คน การจะรณรงค์ลดอัตราการตายด้วยโรคต่างๆ และโดยเฉพาะโรคมะเร็งที่เห็นสาเหตุอันดับหนึ่งมานานนับสิบปีจึงต้องสรรหาวิธีการ กลยุทธ์ต่างๆ มากมายในภารพลิกภาวะสุขภาพของผู้คนให้ดีขึ้นกันถ้วนหน้า
                การพัฒนาประเทศประกอบด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง ณ ที่กำลังกล่าวถึงเรื่องของสาธารณสุขอยู่นี้ ก็เป็นผลกระทบมาจากการศึกษา และแน่นอนว่าการพัฒนาประเทศต้องใช้เงินทุนมหาศาล มันคงหลีกเลี่ยงที่จะคิดถึงเรื่องการจัดสรรงบประมาณไปไม่ได้ ในเมื่อเงินมีอยู่ก้อนหนึ่ง การจะแบ่งเงินเป็นส่วนๆ ก็มีเหตุผลและขั้นตอนมากมายกว่าจะสรุปได้ แล้วการนำเงินไปใช้เคยพิจารณาถึงเรื่องที่สอดคล้องกันไหม แม้ประเทศเราจะมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แต่ก็คงจะยากที่จะให้รัฐมนตรีแต่ละคนมาดำเนินตามแนวทางของอีกคน หากปราศจากนายกรัฐมนตรีที่มีความสามารถคิดอะไรเป็นองค์รวม รู้เท่าทันถึงผลกระทบของปัจจัยแต่ละอย่างต่อระบบการพัฒนาประเทศในภาพรวม
                หากจะมองตัวบุคคลว่าเป็นเพราะผู้ป่วยไม่มีความรู้ แต่ความจริงก็เคยมีกรณีคนที่มีความรู้ ความตระหนักในเรื่องของการเลือกรับประทานอาหาร มีการออกกำลังกาย ระมัดระวังสิ่งแวดล้อม ก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นปัจจัยด้านพันธุกรรมไปได้ หรือมันอาจจะมีปัจจัยซับซ้อนแฝงเร้นอยู่อีกก็เป็นได้ ดังเช่นที่เคยเกิดกับคุณหมอศัลยกรรมท่านหนึ่งที่ออกมาเผยแพร่โดยเขียนเป็นหนังสือชื่อ เมื่อหมอเป็นมะเร็ง
                เมื่อมีปัจจัยรุมเร้ารอบข้างจ่อที่จะก่อมะเร็งต่อเรามากมาย คงไม่มีคนสติดีที่ไหนที่อยากเสี่ยงที่จะเจ็บป่วย ทรมาน เสียเงิน เสียเวลา เมื่อพิจารณาจากมุมมองนี้แล้ว แน่นอนว่าใครๆ ก็น่าจะเห็นด้วยกับการเลือกปรับวิถีทางการดำเนินชีวิตซึ่งจะช่วยให้มีภาวะเสี่ยงต่อโรคมะเร็งน้อยลง หนึ่งในแนวทางนั้นก็คือการเลือกรับประทานอาหาร
                โดยส่วนตัวแล้วมีความชื่นชอบในการเรียนและอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ชีวิต เพราะฉะนั้นการเรียนพิษวิทยาอาหารและโภชนาการก็เป็นเรื่องใกล้ตัวมากเพราะความรู้ที่ได้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการดำรงชีวิตประจำวันได้โดยตรง เป็นวิชาที่ให้ความรู้เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินชีวิตที่เน้นในเรื่องการรับประทานอาหารให้ปลอดภัย  เป็นประโยชน์ต่อตัวเองเป็นเบื้องต้น และหากมีโอกาสเราก็สามารถแนะนำ ให้ความรู้ ตักเตือน การรับประทานอาหารของผู้คนรอบข้าง เพื่อนๆ พ่อ แม่ พี่ น้อง และญาติๆ  และยิ่งได้เป็นบุคลากรในวงการที่สามารถเผยแพร่ ผลักดันการนำความรู้ดังกล่าวไปใข้ให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมก็จะช่วยผลักดันให้สุขภาวะของคนในประเทศดีขึ้น          
                ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เคยเรียนเนื้อหาบางส่วนเรื่องความเป็นพิษของสารอาหารในระดับปริญญาตรี ตอนกลับบ้านก็เป็นโอกาสที่จะนึกถึงสภาพการกินอยู่ของที่บ้าน พอนึกได้ว่าที่บ้านทานอะไรที่เสี่ยง เช่น ที่บ้านมีการนำบอน ผักโขมมาปรุงอาหารก็ชี้แจงว่ามันจะทำให้เป็นโรคนิ่วได้ ก็จะบอกให้ระมัดระวังอย่ารับประทานบ่อย เพื่อนบางคนไม่ชอบทานผักก็ต้องคอยกระตุ้น บางคนก็บอกว่าทานผลไม้และเสริมวิตามินทดแทน หากมีโอกาสได้คุยกันคงสอบถามว่า ขับถ่ายปกติไหม มีโอกาสก็ทานข้าวกล้องบ้างเพื่อให้ได้แร่ธาตุ วิตามินและใยอาหารช่วยทำให้ท้องไม่ผูก
                โดยส่วนตัวก็พยายามนำความรู้มาใช้ในการใช้ชีวิต ไม่ได้ชอบกินมะเขือเทศแต่รู้ว่ามันมีประโยชน์ก็จะพยายามบอกตัวเองให้กินในช่วงแรก เวลาผ่านมานานแล้วก็กินได้เป็นนิสัยในขณะที่ก็ยังบอกได้ว่า ไม่ได้ชอบกินมะเขือเทศอาจเป็นความโชคดีที่ถูกเลี้ยงมาให้รับประทานผักได้ จึงทานผักได้แทบทุกอย่าง ผักบางอย่างตอนเด็กไม่ทานพอโตมาเราทดลองทานแล้วไม่ได้รู้สึกว่าเป็นปัญหาอะไรเราก็ทานเข้าไปพร้อมกับบอกตัวเองว่ามันมีประโยชน์
                ชีวิตช่างเหมือนห้องทดลองที่มีเราเองเป็นผู้ศึกษา ความรู้ใดที่ได้มาหากไม่ได้ทดลองใช้จริง ก็เป็นไปได้ที่เราจะไม่เชื่อโดยสนิทใจ และนั่นหากสิ่งใดที่เราได้ประสบด้วยตัวเอง เราจึงจะเชื่อมั่นและศรัทธาในคุณค่าของความรู้นั้น ข้าพเจ้ามีปัญหาริมฝีปากแห้งอยู่ซึ่งตอนแรกไปหาหมอแล้วหมอก็ให้ยาทานจนหน้าบวม มันไม่เกิดผลดีอะไรขึ้น เลยหยุดไปหาหมอ ใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะนึกออกว่าเป็นเพราะตัวเองมีนิสัยทานน้ำน้อยตั้งแต่เด็ก จำได้ว่าช่วงที่เรียนมัธยมบางมื้อทานข้าวเสร็จก็ทานน้ำน้อยมากแทบจะเรียกได้ว่าจิบน้ำและนั่นก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ขับถ่ายไม่ปกติ ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้สนใจเพราะดำเนินชีวิตได้ปกติดี พอมาทราบว่ามีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ก็ต้องมาไล่ปัจจัยต่างๆ ที่ตัวเองจะดูแลได้
หนึ่งในนั้นก็คือการทานน้ำนั่นเอง การทานน้ำให้ได้วันละ 6-8 แก้วคิดว่าประมาณ 1.5 – 2 ลิตร เหมือนมันเป็นเรื่องง่าย แต่ความจริงมันไม่ได้ง่ายเลยสำหรับผู้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เคยปรับมาหลายครั้งร่างกายก็เหมือนยังไม่ปรับสมดุลตาม ไม่ได้อยากดื่มน้ำเอง แต่ต้องคิดต้องสั่งตัวเองให้หยิบแก้วน้ำมาดื่ม มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้วกับการต้องมาดัดนิสัยตัวเอง ต้องมีวิธีการวางแก้วน้ำไว้ใกล้ๆ ตัว ต้องคอยจิบน้ำอยู่ตลอด ต้องบอกตัวเองให้ทานน้ำเป็นอันดับแรกหลังตื่นนอน เคยทดลองทานน้ำ 2 แก้วก่อนทานอาหารทานเสร็จยังทานน้ำได้อีก 1 แก้ว คิดว่าวิธีนี้ดีนะ ช่วยให้ทานน้ำได้เยอะดี มันก็น่าจะดี น่าจะช่วยให้สารอาหารจำพวกที่ชอบละลายในน้ำเกิดการย่อยและดูดซึมได้ดี ปัจจุบันน่าจะทานน้ำได้ประมาณเกือบ 1 .5 ลิตร/วันแล้ว แต่ก็จะพยายามทานให้ได้ถึง 2 ลิตร/วัน แต่ก็รับประกันไม่ได้เลยว่าถ้าไม่ระลึกตัวเองอยู่เสมอ จะปฏิบัติตัวได้โดยอัตโนมัติได้หรือไม่ เพราะมันไม่ได้เกิดจากความรู้สึกกระหายน้ำ
อาหารที่เลือกก็เน้นทานผักแล้ว แต่บางครั้งร้านค้าก็มีเมนูไม่หลากหลาย เลือกไปเลือกมากลับได้เป็น 2 เมนูที่ใช้วัตถุดิบเป็นผักชนิดเดียวกัน หรือแม้เป็นคนละร้านในแต่ละมื้อก็เจอเมนูเดิมที่เคยทาน ก็คิดว่าการเลือกข้างแกงน่าจะมีวัตถุดิบที่หลากหลายกว่าเราสั่งเอง เพราะเราอาจไม่สามารถนึกเมนูจากวัตถุดิบที่หลากหลาย หรือนึกได้ร้านค้าก็อาจไม่มีวัตถุดิบรองรับ เรื่องข้าวก็ต้องเลือกเป็นข้าวกล้องเพราะมี viscous fiber ช่วยไปเพิ่มมวล
ปัจจัยต่อไปก็เป็นเรื่องการออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหวเพื่อให้ทำหน้าที่ขับถ่ายของเสียได้ตามที่ควรจะเป็น ก็พยายามจะทำให้ได้ทุกวัน อย่างน้อยทุกครั้งที่นึกขึ้นได้ก็จะต้องรีบทำ
การจะให้ร่างกายของเราเป็นไปอย่างที่เราต้องการไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ในเมื่อบางส่วนมันเป็นกล้ามเนื้อที่อยู่เหนือการควบคุมของจิตใจ พอเราพะวงมากเกินไปกลับกลายเป็นความเครียดที่ไปมีผลกับระบบอะไรต่อมิอะไรหลายระบบ ก็เลยคิดว่าเราก็พยายามให้ดีที่สุด นอกเหนือจากนี้ก็ปล่อยให้มันเป็นไป เรื่องที่ดูเหมือนเป็นประเด็นเล็กๆ และได้ใช้ความพยายามในการปรับพฤติกรรมยังยากเย็นขนาดนี้ ก็คงไม่แปลกใจที่คนอื่นที่มีภาวะเสี่ยงมากกว่านี้มันจะยากแค่ไหนในการเปลี่ยนแปลง

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาหลักสูตรพิษวิทยาอาหารและโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น