|
|
||||
![]() |
|
-----------------------------------------------------------------------------------------
คนเราเกิดมาแล้วก็ต้องตาย
คงเป็นเรื่องปกติของชีวิตมนุษย์
แล้วแต่ว่าจะจบชีวิตด้วยเหตุด้วยปัจจัยอะไร แต่ชีวิตเราก็มีภาระหน้าที่ความผูกพันหลายอย่าง
หรืออาจมีคุณค่าในการยังมีชีวิตอยู่ต่อผู้คนรอบข้างและสังคมเกินกว่าที่จะปล่อยชีวิตให้จบลงง่ายๆ
หากไม่ใช่การตายด้วยอุบัติเหตุแล้ว สาเหตุอื่นๆ
ล้วนมีระยะเวลาในการพัฒนาความรุนแรงหรืออาจเรียกได้ว่าเป็นการนับถอยหลังเวลาชีวิตที่เหลืออยู่
คงเป็นเรื่องที่ทำใจได้ลำบากต่อผู้คนมากมายที่ต้องรับรู้ว่าอาหารที่กินอร่อยและเป็นของโปรดปรานมากมายสามารถแสดงบทบาทเป็นผู้ร้ายก่อโรคได้
การศึกษาวิจัยให้ได้มาซึ่งความรู้ต่างๆ เช่น อาหารใดบ้างที่ช่วยป้องกันมะเร็ง
อาหารใดบ้างที่ต้องหลีกเลี่ยง หากปราศจากการนำไปเผยแพร่ให้เข้าถึงผู้คน
ก็คงสูญเปล่ากับการลงทุนวิจัย
ในเมื่อเป็นเรื่องใหญ่ขนาดที่ทำให้คนตายมากที่สุดเป็นอันดับ 1 เรื่องมันก็คงไม่ง่ายแน่นอน
สำหรับประเทศไทยที่การศึกษายังไม่ทั่วถึงมากระดับที่จะพูดได้ว่า
100% ทุกคนในประเทศได้เรียนหนังสือ ส่วนคนที่เหลือก็เรียนในระดับต่างกัน
มากบ้าง น้อยบ้าง นั่นก็เป็นปัจจัยพื้นฐานที่แตกต่างกันระดับตัวบุคคล
แล้วเจ้าหน้าที่ของรัฐเอง เจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือบุคลากรทางการแพทย์มีประสิทธิภาพในการเผยแพร่ความรู้นี้ได้ทั่วถึงหรือไม่
และประสิทธิผลที่เกิดขึ้น
ประชาชนเกิดความตระหนักตามความรู้ที่ได้ให้ไปมากน้อยแค่ไหน นอกจากสติปัญญาแล้วมันก็เป็นเรื่องของทัศนคติ
อคติ ความรู้สึก ความคิดเห็น บ้างยอมรับ บ้างต่อต้าน
แตกต่างกันไปตามนิสัยใจคอของผู้คน การจะรณรงค์ลดอัตราการตายด้วยโรคต่างๆ
และโดยเฉพาะโรคมะเร็งที่เห็นสาเหตุอันดับหนึ่งมานานนับสิบปีจึงต้องสรรหาวิธีการ
กลยุทธ์ต่างๆ มากมายในภารพลิกภาวะสุขภาพของผู้คนให้ดีขึ้นกันถ้วนหน้า
การพัฒนาประเทศประกอบด้วยปัจจัยหลายๆ
อย่าง ณ ที่กำลังกล่าวถึงเรื่องของสาธารณสุขอยู่นี้ ก็เป็นผลกระทบมาจากการศึกษา
และแน่นอนว่าการพัฒนาประเทศต้องใช้เงินทุนมหาศาล
มันคงหลีกเลี่ยงที่จะคิดถึงเรื่องการจัดสรรงบประมาณไปไม่ได้ ในเมื่อเงินมีอยู่ก้อนหนึ่ง
การจะแบ่งเงินเป็นส่วนๆ ก็มีเหตุผลและขั้นตอนมากมายกว่าจะสรุปได้
แล้วการนำเงินไปใช้เคยพิจารณาถึงเรื่องที่สอดคล้องกันไหม
แม้ประเทศเราจะมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แต่ก็คงจะยากที่จะให้รัฐมนตรีแต่ละคนมาดำเนินตามแนวทางของอีกคน
หากปราศจากนายกรัฐมนตรีที่มีความสามารถคิดอะไรเป็นองค์รวม
รู้เท่าทันถึงผลกระทบของปัจจัยแต่ละอย่างต่อระบบการพัฒนาประเทศในภาพรวม
หากจะมองตัวบุคคลว่าเป็นเพราะผู้ป่วยไม่มีความรู้
แต่ความจริงก็เคยมีกรณีคนที่มีความรู้
ความตระหนักในเรื่องของการเลือกรับประทานอาหาร มีการออกกำลังกาย ระมัดระวังสิ่งแวดล้อม
ก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นปัจจัยด้านพันธุกรรมไปได้
หรือมันอาจจะมีปัจจัยซับซ้อนแฝงเร้นอยู่อีกก็เป็นได้
ดังเช่นที่เคยเกิดกับคุณหมอศัลยกรรมท่านหนึ่งที่ออกมาเผยแพร่โดยเขียนเป็นหนังสือชื่อ
“เมื่อหมอเป็นมะเร็ง”
เมื่อมีปัจจัยรุมเร้ารอบข้างจ่อที่จะก่อมะเร็งต่อเรามากมาย
คงไม่มีคนสติดีที่ไหนที่อยากเสี่ยงที่จะเจ็บป่วย ทรมาน เสียเงิน เสียเวลา เมื่อพิจารณาจากมุมมองนี้แล้ว
แน่นอนว่าใครๆ ก็น่าจะเห็นด้วยกับการเลือกปรับวิถีทางการดำเนินชีวิตซึ่งจะช่วยให้มีภาวะเสี่ยงต่อโรคมะเร็งน้อยลง
หนึ่งในแนวทางนั้นก็คือการเลือกรับประทานอาหาร
โดยส่วนตัวแล้วมีความชื่นชอบในการเรียนและอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ชีวิต
เพราะฉะนั้นการเรียนพิษวิทยาอาหารและโภชนาการก็เป็นเรื่องใกล้ตัวมากเพราะความรู้ที่ได้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการดำรงชีวิตประจำวันได้โดยตรง
เป็นวิชาที่ให้ความรู้เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินชีวิตที่เน้นในเรื่องการรับประทานอาหารให้ปลอดภัย
เป็นประโยชน์ต่อตัวเองเป็นเบื้องต้น
และหากมีโอกาสเราก็สามารถแนะนำ ให้ความรู้ ตักเตือน
การรับประทานอาหารของผู้คนรอบข้าง เพื่อนๆ พ่อ แม่ พี่ น้อง และญาติๆ และยิ่งได้เป็นบุคลากรในวงการที่สามารถเผยแพร่
ผลักดันการนำความรู้ดังกล่าวไปใข้ให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมก็จะช่วยผลักดันให้สุขภาวะของคนในประเทศดีขึ้น
ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เคยเรียนเนื้อหาบางส่วนเรื่องความเป็นพิษของสารอาหารในระดับปริญญาตรี
ตอนกลับบ้านก็เป็นโอกาสที่จะนึกถึงสภาพการกินอยู่ของที่บ้าน
พอนึกได้ว่าที่บ้านทานอะไรที่เสี่ยง เช่น ที่บ้านมีการนำบอน
ผักโขมมาปรุงอาหารก็ชี้แจงว่ามันจะทำให้เป็นโรคนิ่วได้
ก็จะบอกให้ระมัดระวังอย่ารับประทานบ่อย เพื่อนบางคนไม่ชอบทานผักก็ต้องคอยกระตุ้น
บางคนก็บอกว่าทานผลไม้และเสริมวิตามินทดแทน หากมีโอกาสได้คุยกันคงสอบถามว่า
ขับถ่ายปกติไหม มีโอกาสก็ทานข้าวกล้องบ้างเพื่อให้ได้แร่ธาตุ
วิตามินและใยอาหารช่วยทำให้ท้องไม่ผูก
โดยส่วนตัวก็พยายามนำความรู้มาใช้ในการใช้ชีวิต
ไม่ได้ชอบกินมะเขือเทศแต่รู้ว่ามันมีประโยชน์ก็จะพยายามบอกตัวเองให้กินในช่วงแรก
เวลาผ่านมานานแล้วก็กินได้เป็นนิสัยในขณะที่ก็ยังบอกได้ว่า “ไม่ได้ชอบกินมะเขือเทศ”
อาจเป็นความโชคดีที่ถูกเลี้ยงมาให้รับประทานผักได้
จึงทานผักได้แทบทุกอย่าง ผักบางอย่างตอนเด็กไม่ทานพอโตมาเราทดลองทานแล้วไม่ได้รู้สึกว่าเป็นปัญหาอะไรเราก็ทานเข้าไปพร้อมกับบอกตัวเองว่ามันมีประโยชน์
ชีวิตช่างเหมือนห้องทดลองที่มีเราเองเป็นผู้ศึกษา
ความรู้ใดที่ได้มาหากไม่ได้ทดลองใช้จริง ก็เป็นไปได้ที่เราจะไม่เชื่อโดยสนิทใจ
และนั่นหากสิ่งใดที่เราได้ประสบด้วยตัวเอง เราจึงจะเชื่อมั่นและศรัทธาในคุณค่าของความรู้นั้น
ข้าพเจ้ามีปัญหาริมฝีปากแห้งอยู่ซึ่งตอนแรกไปหาหมอแล้วหมอก็ให้ยาทานจนหน้าบวม
มันไม่เกิดผลดีอะไรขึ้น เลยหยุดไปหาหมอ
ใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะนึกออกว่าเป็นเพราะตัวเองมีนิสัยทานน้ำน้อยตั้งแต่เด็ก
จำได้ว่าช่วงที่เรียนมัธยมบางมื้อทานข้าวเสร็จก็ทานน้ำน้อยมากแทบจะเรียกได้ว่า
“จิบน้ำ”
และนั่นก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ขับถ่ายไม่ปกติ
ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้สนใจเพราะดำเนินชีวิตได้ปกติดี พอมาทราบว่ามีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ก็ต้องมาไล่ปัจจัยต่างๆ
ที่ตัวเองจะดูแลได้
หนึ่งในนั้นก็คือการทานน้ำนั่นเอง
การทานน้ำให้ได้วันละ 6-8 แก้วคิดว่าประมาณ 1.5 – 2 ลิตร
เหมือนมันเป็นเรื่องง่าย แต่ความจริงมันไม่ได้ง่ายเลยสำหรับผู้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
เคยปรับมาหลายครั้งร่างกายก็เหมือนยังไม่ปรับสมดุลตาม ไม่ได้อยากดื่มน้ำเอง
แต่ต้องคิดต้องสั่งตัวเองให้หยิบแก้วน้ำมาดื่ม มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้วกับการต้องมาดัดนิสัยตัวเอง
ต้องมีวิธีการวางแก้วน้ำไว้ใกล้ๆ ตัว ต้องคอยจิบน้ำอยู่ตลอด
ต้องบอกตัวเองให้ทานน้ำเป็นอันดับแรกหลังตื่นนอน เคยทดลองทานน้ำ 2 แก้วก่อนทานอาหารทานเสร็จยังทานน้ำได้อีก
1 แก้ว คิดว่าวิธีนี้ดีนะ ช่วยให้ทานน้ำได้เยอะดี มันก็น่าจะดี น่าจะช่วยให้สารอาหารจำพวกที่ชอบละลายในน้ำเกิดการย่อยและดูดซึมได้ดี
ปัจจุบันน่าจะทานน้ำได้ประมาณเกือบ 1 .5 ลิตร/วันแล้ว แต่ก็จะพยายามทานให้ได้ถึง 2 ลิตร/วัน
แต่ก็รับประกันไม่ได้เลยว่าถ้าไม่ระลึกตัวเองอยู่เสมอ
จะปฏิบัติตัวได้โดยอัตโนมัติได้หรือไม่ เพราะมันไม่ได้เกิดจากความรู้สึกกระหายน้ำ
อาหารที่เลือกก็เน้นทานผักแล้ว
แต่บางครั้งร้านค้าก็มีเมนูไม่หลากหลาย เลือกไปเลือกมากลับได้เป็น 2 เมนูที่ใช้วัตถุดิบเป็นผักชนิดเดียวกัน
หรือแม้เป็นคนละร้านในแต่ละมื้อก็เจอเมนูเดิมที่เคยทาน
ก็คิดว่าการเลือกข้างแกงน่าจะมีวัตถุดิบที่หลากหลายกว่าเราสั่งเอง
เพราะเราอาจไม่สามารถนึกเมนูจากวัตถุดิบที่หลากหลาย
หรือนึกได้ร้านค้าก็อาจไม่มีวัตถุดิบรองรับ เรื่องข้าวก็ต้องเลือกเป็นข้าวกล้องเพราะมี
viscous fiber ช่วยไปเพิ่มมวล
ปัจจัยต่อไปก็เป็นเรื่องการออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหวเพื่อให้ทำหน้าที่ขับถ่ายของเสียได้ตามที่ควรจะเป็น
ก็พยายามจะทำให้ได้ทุกวัน อย่างน้อยทุกครั้งที่นึกขึ้นได้ก็จะต้องรีบทำ
การจะให้ร่างกายของเราเป็นไปอย่างที่เราต้องการไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ในเมื่อบางส่วนมันเป็นกล้ามเนื้อที่อยู่เหนือการควบคุมของจิตใจ พอเราพะวงมากเกินไปกลับกลายเป็นความเครียดที่ไปมีผลกับระบบอะไรต่อมิอะไรหลายระบบ
ก็เลยคิดว่าเราก็พยายามให้ดีที่สุด นอกเหนือจากนี้ก็ปล่อยให้มันเป็นไป เรื่องที่ดูเหมือนเป็นประเด็นเล็กๆ
และได้ใช้ความพยายามในการปรับพฤติกรรมยังยากเย็นขนาดนี้
ก็คงไม่แปลกใจที่คนอื่นที่มีภาวะเสี่ยงมากกว่านี้มันจะยากแค่ไหนในการเปลี่ยนแปลง
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาหลักสูตรพิษวิทยาอาหารและโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น