ถั่วเหลืองเป็นอาหารที่ได้ทานบ่อยๆ
ตอนอยู่ที่บ้าน คงเป็นเพราะหลายหมู่บ้านแถบนั้นนิยมปลูกกัน
เวลาพ่อไปตลาดตอนเช้าก็จะซื้อมาให้กิน
หรือบางทีก็มีชาวบ้านที่ปลูกและต้มเองมาตระเวณขาย ถั่วเหลืองทานง่ายและอร่อย
รสชาติดี ยิ่งเป็นถั่วเหลืองระยะแก่พอดีจะมันมาก แต่ตอนไปเรียนหรือทำงานก็ไม่ได้มีวิถีชีวิตแบบนี้ก็เลยไม่ค่อยได้ทานแบบต้มสด
มันแสดงให้เห็นถึงรูปแบบการดำเนินชีวิตของคนเราที่ไม่แน่ไม่นอนขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ
อย่าง สภาพภูมิประเทศ
ภูมิอากาศก็บอกได้ถึงการเกษตร แหล่งอาหาร รูปแบบอาหารการกิน การใช้ชีวิต
ปกติพ่อไปตลาดก็จะซื้อน้ำเต้าหู้มาด้วยบ่อยๆ
อีกเช่นกัน พอมาใช้ชีวิตนอกบ้านอย่างนี้ก็ต้องพึ่งเป็นนมถั่วเหลืองกล่อง UHT แทน
ชอบทานนมถั่วเหลืองเพราะทานแล้วรู้สึกเบาสบายท้อง
ไม่เช่นนั้นถ้าเป็นนมวัวก็จะกินนมเปรี้ยวแทนต้องเลือกยี่ห้อที่ทานแล้วรู้สึกเบาๆ
บางยี่ห้อกินแล้วรู้สึกแน่นท้องก็ไม่ชอบ
นมโคแบบจืดก็เคยทานแล้วมีกลิ่นคาวมากก็เลยไม่ชอบ
นมช็อคโกแลตหรือนมสตรอเบอรี่ก็ไม่ค่อยเห็นมากเท่าไหร่ก็เลยไม่ค่อยได้ทาน
เรื่องชอบหรือไม่ชอบอาหารอะไรก็คงแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
ปุถุชนคนธรรมดาคงยากที่จะครองสติใช้ปัญญาได้ตลอดเวลา
กับเรื่องทานอาหารที่ทานแล้วอิ่มมีความสุข
ถ้าหากต้องรู้ว่าของชอบบางอย่างก่ออันตรายก็คงจะรับฟังแต่มันคนละเรื่องก็การเลือกกินสินะ
มันทำให้คิดว่าการเลี้ยงดูมีความสำคัญกับชีวิตคนมาก
คนที่ถูกเลี้ยงดูมาให้ทานอาหารได้หลากหลายก็จะสามารถใช้ชีวิตได้ไม่ลำบากปรับตัวได้กับทุกสถานการณ์
ถูกฝึกมาให้ทานผักได้ ไม่ทานอะไรซ้ำซาก ก็เป็นโชคดีถือว่าเป็นบุญเป็นพรประเสริฐที่พ่อแม่มอบให้เลยก็ว่าได้เพราะมันเป็นสิ่งที่จะติดตัวคนๆ
นั้นไปตลอด และบอกได้ว่าสุขภาพเขาจะเป็นอย่างไร จะป่วยง่ายไหม มีความเสี่ยงต่อโรคอะไรหรือเปล่า ถ้าพ่อแม่ไม่แข็งใจ ไม่มีกุศโลบายในการเลี้ยง
การฝึกลูกมาแต่เล็ก ไม่มองถึงอนาคตการใช้ชีวิตของลูก เอาแต่ให้เหตุผลว่าสงสารลูก
ไม่อยากบังคับจิตใจแล้วตัวเองก็ไม่จิตวิทยาในการสั่งสอน นั่นแหละภาพของพ่อแม่ที่แสนดีตรงนั้นสักวันหนึ่งก็จะกลายเป็น
“พ่อแม่รังแกฉัน”
นมถั่วเหลือง UHT
เป็นอาหารดีๆ นี่แหละในยามหิว
ดีจังนะที่มันมีประโยชน์มากกว่าอิ่มท้อง แต่ได้สารอาหารตามโภชนาการด้วย และยังมี phytonutrient, antioxidant, anticarcinogen,
antimutagen ได้แก่ vitamin E, saponin, phytic acid,
linoleic acid, genistein, daizein, anthocyanin และ phenolic
compounds อีกด้วย และตามที่ได้ค้นคว้าจาก google ได้ทราบว่าถั่วที่หมักด้วยเชื้อราเป็นการเพิ่มฤทธิ์ของสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านการกลายพันธ์ให้สูงด้วย (http://www.mannature.com/view.asp?ID=212)
นั่นสินะ
นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่คนญี่ปุ่นทานนัตโตะและซุปมิโชะเป็นประจำบนโต๊ะอาหาร
ก็อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สุขภาพแข็งแรงและอายุยีน มันเป็นอาหารที่มีทั้งโพรไบโอติกและสารมีประโยชน์ต่อการป้องกันโรค
นึกไปว่าแถวบ้านแถบภาคเหนือก็มีการนิยมทานถั่วเน่าสด ถั่วเน่าแผ่น ใช้ปรุงอาหารใส่ในน้ำพริกอ่อง น้ำเงี้ยว
ดีจังเลยที่มันเป็นอาหารดีมีประโยชน์ที่เราชอบทานอยู่แล้ว รู้สึกว่าการทานถั่วนี่มันคุ้มค่าเงินจริงๆ
ราคาไม่สูงแต่ได้สารมีประโยชน์มากมาย
มีประโยชน์โดยเฉพาะจากสารไอโซพลาโวนซึ่งเป็นไฟโตเอสโตรเจน
ช่วยหล่อเลี้ยงระบบฮอร์โมนเพศให้สมดุลอยู่เสมอ
และตามที่มีงานวิจัยรองรับก็ทำให้ได้รู้ว่าหนึ่งในสารไอโซฟลาโวนที่มีประโยชน์มากก็คือ
เจนิสตีน สามารถป้องกันโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก
ประเด็นนี้ทำให้คิดถึงพ่อขึ้นมา เช่นนั้นต้องบอกให้พ่อกับแม่กินถั่วเหลือง
น้ำเต้าหู้เป็นประจำ และก็อย่าลืมเอาถั่วเน่ามาใส่น้ำพริกอ่องกับน้ำเงี้ยวด้วยแล้วล่ะ
ถ้าเซลล์ร่างกายของเรากำลังเริ่มก่อตัวเป็นมะเร็งอยู่นิดๆ
นมถั่วเหลืองนี่แหละคงช่วยชีวิตเราได้ ทุกครั้งที่จะซื้อหรือดื่มมันเราก็จะคิดเป็นภาพเจนิสตินช่วยขัดขวางการโตของเซลล์มะเร็ง
ทำให้มันตายแบบ apoptosis
และขัดขวางการสร้างเส้นเลือดเข้าเลี้ยงเซลล์มะเร็ง
ประโยชน์มากมายอย่างนี้ช่างน่าสงเสริมให้รับประทานเสียจริงๆ
โปรตีนราคาถูกแต่คุณค่าสูง ของถูกก็มีดีได้นะ
เช่นนี้นี่เองอาจารย์จึงมักย้ำให้ฟังอยู่บ่อยๆ ถึงศักยภาพของเจ้าเจนิสตินในถั่วเหลือง
อาหารเป็นยา : บริโภค 'ถั่ว' ป้องกัน
'มะเร็ง'
ประจำวันที่ : 1 ส.ค. 54
ประจำวันที่ : 1 ส.ค. 54
![]() |
ถั่วจัดเป็นพืชอาหารที่สำคัญ มีราคาถูกและให้คุณค่าทางโภชนาการดี จึงมีการปลูกและบริโภคในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งประเทศกำลังพัฒนาและพัฒนาแล้ว เช่น คนพื้นเมืองในประเทศแถบอเมริกาใต้ แอฟริกาใต้ และแอฟริกาตะวันออก บริโภคถั่วเป็นอาหารพื้นฐาน
โดยถั่วที่สำคัญ 3 อันดับแรก ได้แก่ ถั่วเหลือง ถั่วลิสง และถั่วดำ ตามลำดับ
ถั่วเป็นแหล่งโปรตีนจากพืชที่สำคัญ (16-33%) เทียบเคียงกับปริมาณโปรตีนในเนื้อสัตว์ แต่มีราคาถูกกว่า และยังอุดมไปด้วยใยอาหาร (14-19%), คาร์โบไฮเดรต, แร่ธาตุ (Ca, Fe, Cu, Zn, P, K, Mg) และวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย (folate, riboflavin,vitamin B6)
นอกจากนี้ถั่วบางชนิดยังได้มีการแปรรูป เช่น การหมัก ซึ่งสามารถเพิ่มคุณค่าทางสารอาหารและเพิ่มปริมาณของสาร phytochemicals ที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายให้มากขึ้นอีกด้วย ทำให้ถั่วเมล็ดแห้งและผลิตภัณฑ์เป็นอาหารเพื่อสุขภาพอีกชนิดหนึ่งที่น่าสนใจ
แต่ในอดีตได้มีความกังวลเกี่ยวกับสารต้านอาหารในถั่ว แต่งานวิจัยได้พิสูจน์แล้วว่ากระบวนการให้ความร้อนสามารถทำลายสารต้านอาหารดังกล่าวได้
ในปัจจุบันงานวิจัยได้ให้ความสนใจประโยชน์ของถั่ว โดยพบว่าการบริโภคถั่วมีความสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน โรคอ้วน โรคระบบย่อยอาหาร และมะเร็ง โดยเชื่อว่าคุณสมบัติในการป้องกันดังกล่าวเป็นเพราะมีสารประกอบฟีโนลิค (ฟีโนลิค ฟลาโวนอยด์ และแทนนิน)
สารประกอบฟีโนลิคมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เนื่องจากมีกลุ่มไฮดรอกซิลในโครงสร้าง นอกจาก นี้ยังมีการศึกษาฤทธิ์ต้านก่อกลายพันธุ์ในสัตว์ทดลอง พบว่าหนูได้รับสารอาหารที่มีถั่วดำผสมอยู่นาน 15 วัน ก่อนเหนี่ยวนำให้ดีเอ็นเอและโครโมโซมเสียหายด้วย cyclophosphamide แล้วตรวจผลการต้านการกลายพันธุ์ด้วยวิธี comet assay ในเซลล์เม็ดเลือดขาว พบว่า หนูกลุ่มที่ได้รับอาหารผสมถั่วดำสามารถลดความเสียหาย ของดีเอ็นเอได้เมื่อเทียบกับหนูกลุ่มที่ได้รับอาหารปกติ
นอกจากนี้เมื่อศึกษาความเสียหายของโครโมโซมด้วยวิธี micronucleus test ใน bone marrow erythrocytes พบว่าหนูกลุ่มที่ได้รับถั่วดำสามารถลดความเสีย หายของโครโมโซมได้เมื่อเทียบกับหนูที่ได้รับอาหารปกติ
ทั้งนี้อาจเกิดจากกลไกที่สารในถั่วดำสามารถยับยั้งระบบเอนไซม์กระตุ้นสารพิษ (cytochrome P450) ทำให้ cyclophosphamide อยู่ในรูป active metabolites ได้ลดลง เป็นผลให้ดีเอ็นเอถูกทำลายลดลง หรืออาจเกิดจากสารในถั่วดำเข้าจับกับโมเลกุลของ cyclophosphamide ทำให้ลดการดูดซึมสารดังกล่าว
นอกจากนี้ถั่วต่างๆ มีปริมาณใยอาหารมาก จึงได้มีการศึกษาผลของถั่วในการลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ โดยให้หนูทดลอง 3 กลุ่ม ได้รับอาหารที่มีถั่ว black-eyed peas, pinto beans, soybeans ผสมอยู่ 20% พบว่าอาหารที่ผสมถั่วสามารถลดการเกิดความเสียหายกับเซลล์ลำไส้ที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยสาร azoxymethane ได้ เนื่องจากใยอาหารในถั่วได้ถูกแบคทีเรียในลำไส้ย่อยให้เป็นกรดไขมันสายสั้น (butyric acid) ซึ่งมีคุณสมบัติในการยับยั้งการเจริญหรือทำให้เซลล์ลำไส้ที่ผิดปกติที่จะพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็งตายลงได้
นอกจากนี้สารประกอบฟีโนลิคและฟลาโวนอยด์ในถั่วยังสามารถกระตุ้นเอนไซม์ทำลายสารพิษ glutathione-s-transferase (phase II) จึงเพิ่มการขับสาร azoxymethane ออกจากร่างกายได้อีกด้วย
ผลิตภัณฑ์ถั่วหมัก ได้มีการศึกษาหมักถั่วเหลือง ถั่วดำ (black soybean) ด้วยเชื้อราชนิดต่างๆ ที่ใช้ใน อุตสาหกรรมอาหาร พบว่าการหมักถั่วเหลืองดำด้วยเชื้อรา Aspergillus awamori ทำให้คุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น และสามารถเพิ่มปริมาณสารประกอบฟีโนลิคและฟลาโวนอยด์ได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับถั่วเหลืองดำที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการหมัก และสามารถยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ของสารก่อกลายพันธุ์บางชนิด (4-nitroquinoline-N-oxide และ benzo[a]pyrene) ใน Ames test ได้
เนื่องจากถั่วและผลิตภัณฑ์มีสารประกอบที่มีศักยภาพในการต้านการกลายพันธุ์ ได้แก่ vitamin E, saponin, phytic acid, linoleic acid, genistein, daizein, anthocyanin และ phenolic compounds ซึ่งในระหว่างกระบวนการหมัก เชื้อราที่ใช้หมัก สามารถผลิตเอนไซม์ Beta-glucosidase เพื่อทำการตัดพันธะ Beta-glycosidic ในโมเลกุลของไอโซฟลาโวนอยด์ที่อยู่ในรูปมีน้ำตาลเกาะอยู่ (isoflavones glycosides) ให้อยู่ในรูปที่ไม่มีน้ำตาลเกาะ (aglycones) ทำให้เพิ่มฤทธิ์ต้านการกลายพันธุ์ได้
ซึ่งงานวิจัยเหล่านี้สามารถใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานที่จะสนับสนุนให้การบริโภคถั่วและผลิตภัณฑ์ถั่วหมักเป็นอาหารเพื่อสุขภาพต่อไป เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้
• กินถั่วอย่างไรให้ปลอดภัย
- หลีกเลี่ยงถั่วค้างคืน ถั่วคั่ว โดยเฉพาะถั่วที่ใส่ในก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ หรืออาหารชนิดเป็นเส้น (ถ้าทำกินเองควรกินให้หมดใน 1 วัน ถ้าไม่หมดควรใส่ในตู้เย็น และกินให้หมดในวันถัดไป)
- เลือกกินถั่วสด เช่น ถั่วพู (ถั่วพูมีคุณสมบัติพิเศษ คือ แคลเซียมในถั่วชนิดนี้ดูดซึมได้เกือบเท่าแคลเซียมใน นม) ถั่วฝักยาว ฯลฯ ถั่วประเภทนี้เกือบไม่มีโอกาสขึ้นราเลย
- หลีกเลี่ยงถั่วทอด-ถั่วผัด เพราะการทอดหรือผัดทำให้น้ำมันชนิดดีในถั่วซึมออก น้ำมันที่ใช้ทอด (ส่วนใหญ่เป็นน้ำมันปาล์ม) ซึมเข้า ทำให้ไม่ได้รับไขมันชนิดดี
- หลีกเลี่ยงถั่วที่ผ่านการผลิต ซึ่งส่วนใหญ่จะเติมเกลือ เช่น ถั่วต้มมักจะต้มในน้ำเกลือ ถั่วทอดก็คลุกเกลือ ฯลฯ การกินเกลือมากเกินเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูง
- ไม่ควรกินถั่วชนิดเดิมซ้ำซากทุกวัน เนื่องจากถ้าถั่วชุดนั้นมีสารพิษ เช่น สารก่อมะเร็ง ยาฆ่าแมลง ฯลฯ ปนอยู่ ตับจะได้มีเวลาพักผ่อน และฟื้นตัวจากสารพิษได้ก่อนที่ตับจะป่วย
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 128 กรกฎาคม 2554 โดย กัลยารัตน์ เครือวัลย์ สถาบันโภชนาการ ม.มหิดล)
สำคัญอย่างไร
ถั่วเหลือง
มีทั้งคาร์โบฮัยเดรทเชิงซ้อน และโปรตีนที่ไม่ปนไขมันอิ่มตัวสายโมเลกุลยาวแบบเนื้อสัตว์
ไม่มีสาร อดรีนาลีนที่สัตว์มักหลั่งด้วยความตกใจ ขณะถูกฆ่า ไม่มีฮอร์โมนเร่งโต
หรือปฏิชีวนะจากการเลี้ยงสัตว์
มีแคลเซียมในสัดส่วนที่ไม่ล้นเกินแมกนีเซียมแบบนมวัว มีวิตามินแร่ธาตุมากหลาย…ที่สำคัญคือ ฮอร์โมนพืช...ไอโซฟลาโวน
ฮอร์โมนเอสโตรเจนจากพืชธรรมชาติ
(Phytoestrogen) นอกจากช่วยในการดูดซึมแคลเซียม บรรเทาภาวะกระดูกพรุนแล้ว
การได้รับแต่เนิ่นๆ ยังช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมในหญิง และมะเร็งต่อมลูกหมากในชาย
ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการฉีดหรือกินฮอร์โมนสังเคราะห์
ยังมีอะไรในถั่วเหลือง
คาร์โบฮัยเดรทเชิงซ้อน
เป็นอาหารสมบูรณ์แบบสำหรับผู้ต้องการลดน้ำหนัก เพราะให้ความรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น
ให้พลังงานที่เผาผลาญช้าๆ
แต่ทนนานสม่ำเสมอ
เส้นใยชนิดไม่ละลายน้ำ
ช่วยป้องกันอาการท้องผูก ช่วยให้อาหารผ่านระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้น เมื่อของเสียไม่หมักหมม
การดูดซึมสารพิษไม่เกิด ลดความระคายเคืองต่อเยื่อบุลำไส้
จึงลดความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่
เส้นใยชนิดละลายน้ำ
เป็นตัวแปรสำคัญในการผลิตโคเลสเตอรอลดี ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
ลดระดับกลูโคสในเลือด จัดเป็นอาหารทางเลือกสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
ซาโปนิน
ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลเลว LDL
โฟเลท
จำเป็นต่อการพัฒนาตัวอ่อน ลดระดับโฮโมซิสเทอีน
อันเป็นสารอันตรายต่อระบบหัวใจหลอดเลือด
เลซิทิน
มีผลในการลดไขมัน เสริมสร้างการทำงานของระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำ
ลิกแนน
สารยับยั้งโปรทิเอส เอนไซม์ ป้องกันมะเร็ง
และที่สำคัญคือเจนิสติน
และโปรตีนพืช !
แล้วดีอย่างไร
ฮอร์โมนพืชทำงานคล้ายๆ
ฮอร์โมนเอสโตรเจนของคน จึงเรียกไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) มีข้อเด่นคือ
เร่งการเจริญเติบโตของเซลล์ปกติ พร้อมยับยั้งเซลล์เนื้องอก ในขณะที่ estrogen
ของคนหรือสารสังเคราะห์ กระตุ้นทั้งเซลล์ปกติและเนื้องอกมะเร็ง
โดยพบว่า Hormone Replacement Therapy–HRT ที่คิดว่าใช้ได้ผลดีสำหรับสตรีวัยทอง
อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 80% ในปีแรก
และเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม 26% สมองขาดเลือด 41%
หัวใจวาย 29%
ไฟโตเอสโตรเจนมีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนจึงจับคู่กับ
“ตัวรับเอสโตรเจน”
ในเซลล์ได้ ไฟโตเอสโตรเจนไม่ทำให้ระดับเอสโตรเจนในเลือดเปลี่ยนแปลง
(ถ้าร่างกายมีเอสโตรเจนต่ำ) แต่จะต้านฤทธิ์ของเอสโตรเจน
หากร่างกายมีเอสโตรเจนมากเกินไป จึงเป็นการลดความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม
และมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน
ผู้ชายมีฮอร์โมนเอสโตรเจน
แต่จำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากมีมากจะเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมาก
ไฟโตเอสโตรเจนจากพืชจึงป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากได้
ส่วนหญิงวัยทอง
จะมีเอสโตรเจนน้อยลง เชื่อกันว่าไฟโตเอสโตรเจนจากพืช สามารถทดแทนเอสโตรเจนได้
จึงช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบหรือผิวแห้ง
อีกทั้งป้องกันภาวะกระดูกพรุนในวัยนี้ด้วย
ทำให้พบอาการเหล่านี้น้อยในหญิงชาวเอเชีย ซึ่งบริโภคถั่วเหลืองเป็นประจำ
มีการตรวจปัสสาวะพบว่า
หญิงญี่ปุ่นขับเอสโตรเจนออกทางปัสสาวะ มากกว่าหญิงชาวตะวันตก 100 – 1000 เท่า
มีการวิจัยในปี 1998 พบว่าหญิงวัยหมดประจำเดือนที่ได้ไอโซฟลาโวนเพิ่มวันละ
40 กรัม จากโปรตีนถั่วเหลือง เป็นเวลา 12 สัปดาห์ มีอาการร้อนวูบวาบลดลง 45%
ไอโซฟลาโวน
เป็นไฟโตเอสโตรเจนชนิดหนึ่ง ซึ่งยังมีหลายรูปแบบ เช่น daidzein genistein และ glycitein
ถั่วเหลือง
เป็นแหล่งอาหารที่มีปริมาณของไอโซฟลาโวนอยู่มากกว่าอาหารอื่นๆ
โดยเจนิสตินเป็นชนิดของ ไอโซ
ฟลาโวนที่พบในถั่วเหลือง
เจนิสติน
ต้านมะเร็งได้เหลือเชื่อ ! …1. สามารถเหนี่ยวนำให้เกิด apoptosis
(ตายตามโปรแกรม) จึงเป็นสารทำลายเซลล์มะเร็ง…2. เจนิสติน เป็นตัวยับยั้งเอนไซม์ไทโรซีนไคเนส (Thyrosine kinase) จึงหยุดการแข็งตัวของเลือดส่วนเกิน ซึ่งเป็นสาเหตุของหัวใจวาย
และการเติบโตของเซลล์มะเร็ง…3. เจนิสติน
ขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ DNA topoisomerase II ซึ่งลดการสร้าง
DNA ทำให้เซลล์หยุดแบ่งตัว ทำให้เซลล์มะเร็งหยุดเจริญเติบโต …4.
เจนิสตินยับยั้งกระบวนการสร้างเส้นเลือดใหม่ (angiogenesis) อันสำคัญต่อการเจริญของเนื้องอก
จึงป้องกันการก่อตัวของมะเร็งชนิดอยู่กับที่ เช่น มะเร็งเต้านม ต่อมลูกหมาก
และมะเร็งปอด โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา พิจารณาให้เจนิสตินเป็นยารักษาโรคมะเร็ง…5.
เจนิสตินยังมีบทบาทควบคุมมะเร็งที่ไวต่อฮอร์โมน เช่น มะเร็งเต้านม
และมะเร็งต่อมลูกหมาก
พบว่าสตรีชาวเอเชียที่บริโภคถั่วเหลืองตั้งแต่วัยรุ่น
มีอุบัติการณ์มะเร็งเต้านมน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ และแม้จะเป็นขึ้นมา
เนื้องอกก็มักจะรุนแรงน้อยกว่า มีอัตรารอดชีวิตสูง
ชาวอังกฤษมีอัตราเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านม
และต่อมลูกหมากสูงกว่าชาวญี่ปุ่น 4
เท่า
มะเร็งต่อมลูกหมากในประชากรชาวญี่ปุ่นเกิดขึ้นช้า
และเติบโตช้ากว่าเมื่อเทียบกับชาวตะวันตก ปัจจัยหนึ่งก็คือ
นิสัยบริโภคซึ่งนอกจากปลาแล้ว ก็คือถั่วเหลือง ตลอดรวมถึงถั่วชนิดอื่นๆ เช่น
ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วดำ ฯ มากกว่าชาวอเมริกันทั่วไป
การศึกษาในสัตว์พบว่าเจนิสติน
ซึ่งพบมากในถั่วเหลือง สามารถลดการเติบโตของเนื้องอกต่อมลูกหมากได้อย่างมีนัยสำคัญ
ส่วนไบโอคานิน เอ (ไอโซฟลาโวนอีกชนิดหนึ่ง) นั้น พบว่าช่วยลดการหลั่งของ PSA ซึ่งถูกกระตุ้นให้หลั่งออกมาโดยฮอร์โมนเทสโตสเตอโรน
อาหารชนิดไหนที่ควรจะแนะนำให้กับผู้ป่วยมะเร็ง
คำตอบคือ อาหารจากพืช
น่าจะเป็นประเภทแรก เนื่องจากอุดมไปด้วยโปรตีนพืช สารต้านอนุมูลอิสระ ไฟโตเคมิคอล
คาร์โบฮัยเดรทเชิงซ้อน วิตามินแร่ธาตุ และกากใย โดยควรลดกลุ่มคาร์โบฮัยเดรท น้ำตาล…ถั่วเหลืองจึงเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ
และหากต้องการเนื้อสัตว์จริงๆ เนื้อปลาก็เป็นตัวเลือกของกลุ่ม
นอกจากป้องกันโรคมะเร็งแล้ว
ไฟโตเอสโตรเจนยังช่วยบำรุงผิว ช่วยรักษาระดับความดันเลือด ระดับโคเลสเตอรอล ทำให้ LDL ซึ่งเป็นโคเลสเตอรอลเลว ลดจำนวนลง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น