วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

มหันตภัยพืชอาหาร GMO



            ใครๆ ต่างกล่าวขานถึงเทคโนโลยีชีวภาพจะมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 นี้ ประโยชน์ของมันถูกใช้ในหลายๆ วงการ ได้แก่ ทางการแพทย์ พลังงาน สิ่งแวดล้อม เกษตร อาหาร อาวุธ ฯลฯ ทุกวงการก็คงมุ่งหวังการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาเดิมๆที่ไม่อาจแก้ไขได้หรือมีการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ แต่วงการที่กระทบกับชีวิตมนุษย์โดยตรงก็คงไม่พ้นเรื่องอาหารการกินซึ่งก็สืบเนื่องมาจากการใช้ในทางการเกษตรด้วย ซึ่งก็มักมีการคิดค้นต่อยอดหลักการพันธุวิศวกรรมจนได้ผลิตภัณฑ์มากมายที่ตอบโจทย์ปัญหาทางการเกษตร สร้างพันธุ์พืชที่ทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ แมลงศัตรูพืช ทนต่อสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เพิ่มผลผลิตจำนวนมาก สร้างคุณค่างทางโภชนาการ รักษาสภาพความสดหลังการเก็บเกี่ยว ฯลฯ
            เทคโนโลยีดังกล่าวพัฒนาไปอย่างรวดเร็วในวงการธุรกิจ ซึ่งธุรกิจยังไงเสียก็คือธุรกิจวันยันค่ำ หาใช่องค์กรการกุศล ธุรกิจที่จะยืนอยู่ได้ต้องมีวิสัยทัศน์คาดการณ์อนาคตได้ไกล สามารถปรับตัวให้ทันกระแสผู้บริโภคและยิ่งถ้าเป็นผู้นำหรือสามารถกำหนดพฤติกรรมผู้บริโภคได้ก็จะทำให้ธุรกิจยั่งยืน และเป้าหมายหลักของการประกอบธุรกิจก็คือผลกำไร แน่นอนว่าเหล่าบริษัทที่ทำธุรกิจด้านเทคโนโลยีชีวภาพก็คิดค้นผลิตภัณฑ์ของตัวเองขึ้นมาดึงดูดลูกค้าและโฆษณาให้เกิดปัญหาหรือความจำเป็นที่ต้องซื้อสินค้าและเป็นปกติวิสัยว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้สามารถขายสินค้าได้ โลกนี้ช่างมีแต่เรื่องของธุรกิจแม้แต่กับรัฐบาล ไม่น่าแปลกเลยที่ประชาชนทั่วสหรัฐอเมริกาต่างเรียกร้องให้ติดฉลากสินค้าที่มีส่วนประกอบมาจากวัตถุดิบ GMO แต่ทำไมการผลักดันกฎหมายนานกว่า 10 ปียังไม่ประสบผลสำเร็จจนถึงทุกวันนี้ ประเทศที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าก็ใช่จะมีแต่เรื่องดีๆ ตรงกันข้ามกลับมองว่าประชาชนในสหรัฐอเมริกาเหมือนเป็นหนูทดลองที่ถูกให้อาหาร GMO แทบทุกวัน แล้วในระยะยาวผลที่มีต่อสุขภาพจะเป็นอย่างไร จะมีอุบัติการณ์โรคใดเพิ่มสูงขึ้นหรือมีโรคอุบัติใหม่บ้างหรือไม่ เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมกรรมผลิตคอร์นไซรัปที่เจริญดีและเป็นที่นิยมบริโภคในร้านแมคโดนัลด์ รวมถึงการนิยมใช้ไขมันทรานซ์ในผลิตภัณฑ์ในยุคก่อนหน้านี้ซึ่งนั่นได้ทำให้ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศมีปัญหาโรคอ้วนและความเสี่ยงต่อโรคหัวใจโดยมีสภาพการณ์ที่เห็นได้ชัดเจนเมื่อเทียบกับผู้คนในประเทศอื่นๆ
            หลังจากได้ดูวีดีโอ Monsanto GMO มีความสงสัยการชี้บ่งข้อความ “Biodegradable” ที่ระบุไว้ข้างขวดของผลิตภัณฑ์ยาฆ่าหญ้า Roundup ว่าจะเชื่อถือได้ตามนั้นจริงหรือไม่http://articles.mercola.com/sites/articles/archive/2012/01/15/dr-don-huber-interview-part-2.aspx
เว็บไซต์ดังกล่าวได้อธิบายว่าในปี 2009 ประเด็นดังกล่าวได้ถูกศาลของประเทศฝรั่งเศสตัดสินว่าเป็นโฆษณาที่หลอกลวง และโดยข้อมูลจาก School of Public Health at the University of California, Berkeley http://www.organicconsumers.org/monad.html ต้องใช้เวลานาน 7 ปีกว่าจะรวบรวมข้อมูลที่มีน้ำหนักเพียงพอจนสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับผลิตภัณฑ์ของมอนซานโต้ โดยข้อมูลดังกล่าวได้สรุปว่าสารออกฤทธิ์ glyphosate ในผลิตภัณฑ์ที่รวมถึง roundup ทำให้เกิดการเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากการใช้ยาฆ่าแมลงของเกษตรกรสูงเป็นอันดับที่ 3 โดยมอนซานโต้ยอมรับที่จะเปลี่ยนแปลงการโฆษณาดังกล่าวในนิวยอร์ค และยอมจ่ายเงิน 50,000 เหรียญเพียงเพื่อไม่ต้องการให้เกิดคดีความ แต่ยังยืนยันว่าโฆษณาของตนถูกต้องและไม่ได้ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและไม่ได้ทำผิดกฎหมายท้องถิ่น รัฐหรือสหพันธรัฐแต่อย่างใด นั่นหมายความว่าบริษัทไม่ได้ดำเนินการดังกล่าวในรัฐอื่นๆ ใช่หรือไม่
            บริษัทเร่งงานวิจัยเพื่อปล่อยสินค้าออกจำหน่ายโดยไม่มีการวิเคราะห์ผลกระทบต่างๆ ให้เพียงพอแม้แต่ผลกระทบต่อตัวผลิตภัณฑ์เอง ดังเช่น กรณี roundup ready soybean http://articles.mercola.com/sites/articles/archive/2012/01/15/dr-don-huber-interview-part-2.aspx
โดยมีการพบว่าการใช้สารออกฤทธิ์ glyphosate ทำลายเชื้อแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในดินซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคเพิ่มจำนวนขึ้นและมีการพัฒนาความรุนแรงของการก่อโรคด้วย โดยมีการพบเชื้อรา fusaria ที่ทำให้เกิดโรค “Sudden death syndrome” มากถึง 500% ที่ส่วนรากของต้นถั่วเหลือง
            บริษัทมีอิทธิพลต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐชนิดที่ว่าไม่สนใจที่จะดำเนินการใดๆ เพื่อทำให้ประชาชนได้ทราบข้อมูลที่แท้จริงที่เป็นแนวโน้มการก่ออันตรายต่อผู้บริโภคโดยสิ้นเชิงทั้งๆ ที่มีข้อมูล ผลการศึกษาและอุบัติการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น โดยกลางปีที่แล้วมอนซานโต้ได้เดินหน้าออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็นข้าวโพดหวานที่มีการใส่ทั้งยีนจาก BT-toxin และยีน Roundup ready โดยการอนุมัติของ EPA (Environmental Protection Agency) ทั้งๆ ที่ทราบข้อมูลต่างๆ มากมายว่า Bt-toxin แสดงพิษร้ายทัดเทียมกับ cholera toxin จากผลการทดสอบในหนู mice แม้กระทั่งทำปฏิกิริยากับอาหารอื่นซึ่งไม่เคยก่ออันตรายมาก่อน อุบัติการณ์ในคนก็พบคนงานฟาร์มมีการตอบสนองต่อ Bt-toxin ทางระบบภูมิคุ้มกัน และผู้คนกว่า 500 คนในวอชิงตันและแวนคูเวอร์แสดงอาการแพ้และมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่เมื่อสัมผัสสารโดยการสเปรย์เมื่อใช้มันฆ่าผีเสื้อ ทั้งๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ของ EPA ก็ออกมายอมรับว่าสารดังกล่าวสามารถแสดงศักยภาพเป็น antigen และสารก่อภูมิแพ้ได้แต่ก็ทำเป็นมองข้ามข้อมูลดังกล่าวไป
            แม้แต่ในคนที่รับประทานอาหารปกติชาวแคนาดาก็ถูกตรวจพบ Bt-toxin ในเลือดทั้งผู้ใหญ่และเด็กเกิดใหม่ จึงมีข้อสงสัยว่าจะปนเปื้อนมากับอาหารที่ใช้เลี้ยงปศุสัตว์และแน่นอนว่าสารดังกล่าวก็สามารถถูกถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกโดยผ่านทางรกซึ่งก็มีรวบรวมหลักฐานอย่างต่อเนื่องตลอดมาตั้งแต่มีการเริ่มปลูกพืชที่มียีนของ Bt-toxin ตั้งแต่ปี 1996
            มีการศึกษาการตรวจสุขภาพในคน พบว่าคนที่แม้จะเคยทานอาหาร GMO แม้เพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่ยีนจาก roundup ready soybean ที่ได้มาจากยีนของแบคทีเรียที่มอนซานโต้พบที่กองขยะสารเคมีซึ่งมีความทนทานต่อ roundup นั้น สามารถถูกถ่ายทอดไปยัง DNA ของแบคทีเรียในทางเดินอาหารของคนนั้นได้ ซึ่งก็จะยังคงอยู่ต่อไปแม้จะไม่ได้ทานอาหาร GMO แล้วก็ตาม แบคทีเรียดังกล่าวนี้ถูกเรียกว่า “roundup ready gut bacteria” เป็นการเรียกชื่อเหมือนประชดประชันแต่ก็ถูกต้องสมเหตุสมผลดี และหากมันเป็นสารแปลกปลอม สารก่อภูมิแพ้นั่นก็เท่ากับว่าเรามีการผลิตสารดังกล่าวขึ้นในตัวตลอดเวลาก็จะทำให้เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
            มีการตั้งรับหาหลักฐานว่าหาก Bt gene อยู่ในแบคทีเรียในทางเดินอาหารของผู้คนแถบทวีปอเมริกาเหนือ คงจะมีอุบัติการณ์ การเจ็บป่วยระบบกระเพาะอาหาร  โรคแพ้ภูมิตัวเอง แพ้อาหาร ความผิดปกติในการเรียนรู้ของเด็กเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นับจากพืชที่มียีน Bt เริ่มจำหน่ายในปี 1996 มันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานกว่า 16 ปีแต่ก็คงยังไม่มีน้ำหนักพอที่จะไปงัดข้อกับมอนซานโต้ได้ ก็คงต้องเก็บข้อมูลไปอีกนานมากทีเดียว
            มุมมองต่อการใช้ชีวิตอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาดูจะไม่มีทางเลือกในการบริโภคอาหารเหมือนถูกบังคับให้ทานพืชและสัตว์ GMO มันรู้สึกเหมือนเป็นการสะสมสารพิษในร่างกายซึ่งน่าจะแย่กว่าสารพิษที่มีในอาหารต่างๆ อย่างอื่นซึ่งเราก็บริโภคได้บ้างเพราะประเทศไทยเรามีอาหารหลากหลายให้บริโภค เรื่องราวของ GMO ในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีภาพลักษณ์เป็นประเทศแห่งประชาธิปไตยและความเท่าเทียมทางสิทธิและเสรีภาพ แท้ที่จริงนั้นกลับยากลำบากมากในการต่อสู้เพื่อให้ได้สิทธิอันชอบธรรมนั้นและช่างไม่น่าภูมิใจเลยกลับสิทธิการได้ทานอาหาร GMO ถ้วนหน้าถึงกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้รู้สึกโชคดีที่ประเทศไทยยังอยู่ภายใต้องค์กรที่ดูแลสุขภาพอนามัยของประชากรในโลกอย่าง FAO/WHO แต่กระนั้นก็ไม่สามารถไว้วางใจได้เลยที่จะไม่ติดตามสถานการณ์ เพราะอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอบนโลกใบนี้เพราะความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน

อาหาร GMO กับความเสี่ยงในชีวิตมนุษย์


ใครๆ ต่างกล่าวขานถึงเทคโนโลยีชีวภาพจะมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 นี้ ประโยชน์ของมันถูกใช้ในหลายๆ วงการ ได้แก่ ทางการแพทย์ พลังงาน สิ่งแวดล้อม เกษตร อาหาร อาวุธ ฯลฯ ทุกวงการก็คงมุ่งหวังการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาเดิมๆที่ไม่อาจแก้ไขได้หรือมีการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ แต่วงการที่กระทบกับชีวิตมนุษย์โดยตรงก็คงไม่พ้นเรื่องอาหารการกินซึ่งก็สืบเนื่องมาจากการใช้ในทางการเกษตรด้วย ซึ่งก็มักมีการคิดค้นต่อยอดหลักการพันธุวิศวกรรมจนได้ผลิตภัณฑ์มากมายที่ตอบโจทย์ปัญหาทางการเกษตร สร้างพันธุ์พืชที่ทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ แมลงศัตรูพืช ทนต่อสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เพิ่มผลผลิตจำนวนมาก สร้างคุณค่างทางโภชนาการ รักษาสภาพความสดหลังการเก็บเกี่ยว ฯลฯ
            เทคโนโลยีดังกล่าวพัฒนาไปอย่างรวดเร็วในวงการธุรกิจ ซึ่งธุรกิจยังไงเสียก็คือธุรกิจวันยันค่ำ หาใช่องค์กรการกุศล ธุรกิจที่จะยืนอยู่ได้ต้องมีวิสัยทัศน์คาดการณ์อนาคตได้ไกล สามารถปรับตัวให้ทันกระแสผู้บริโภคและยิ่งถ้าเป็นผู้นำหรือสามารถกำหนดพฤติกรรมผู้บริโภคได้ก็จะทำให้ธุรกิจยั่งยืน และเป้าหมายหลักของการประกอบธุรกิจก็คือผลกำไร แน่นอนว่าเหล่าบริษัทที่ทำธุรกิจด้านเทคโนโลยีชีวภาพก็คิดค้นผลิตภัณฑ์ของตัวเองขึ้นมาดึงดูดลูกค้าและโฆษณาให้เกิดปัญหาหรือความจำเป็นที่ต้องซื้อสินค้าและเป็นปกติวิสัยว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้สามารถขายสินค้าได้ โลกนี้ช่างมีแต่เรื่องของธุรกิจแม้แต่กับรัฐบาล ไม่น่าแปลกเลยที่ประชาชนทั่วสหรัฐอเมริกาต่างเรียกร้องให้ติดฉลากสินค้าที่มีส่วนประกอบมาจากวัตถุดิบ GMO แต่ทำไมการผลักดันกฎหมายนานกว่า 10 ปียังไม่ประสบผลสำเร็จจนถึงทุกวันนี้ ประเทศที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าก็ใช่จะมีแต่เรื่องดีๆ ตรงกันข้ามกลับมองว่าประชาชนในสหรัฐอเมริกาเหมือนเป็นหนูทดลองที่ถูกให้อาหาร GMO แทบทุกวัน แล้วในระยะยาวผลที่มีต่อสุขภาพจะเป็นอย่างไร จะมีอุบัติการณ์โรคใดเพิ่มสูงขึ้นหรือมีโรคอุบัติใหม่บ้างหรือไม่ เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมกรรมผลิตคอร์นไซรัปที่เจริญดีและเป็นที่นิยมบริโภคในร้านแมคโดนัลด์ รวมถึงการนิยมใช้ไขมันทรานซ์ในผลิตภัณฑ์ในยุคก่อนหน้านี้ซึ่งนั่นได้ทำให้ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศมีปัญหาโรคอ้วนและความเสี่ยงต่อโรคหัวใจโดยมีสภาพการณ์ที่เห็นได้ชัดเจนเมื่อเทียบกับผู้คนในประเทศอื่นๆ
            หลังจากได้ดูวีดีโอ Monsanto GMO มีความสงสัยการชี้บ่งข้อความ “Biodegradable” ที่ระบุไว้ข้างขวดของผลิตภัณฑ์ยาฆ่าหญ้า Roundup ว่าจะเชื่อถือได้ตามนั้นจริงหรือไม่http://articles.mercola.com/sites/articles/archive/2012/01/15/dr-don-huber-interview-part-2.aspx
เว็บไซต์ดังกล่าวได้อธิบายว่าในปี 2009 ประเด็นดังกล่าวได้ถูกศาลของประเทศฝรั่งเศสตัดสินว่าเป็นโฆษณาที่หลอกลวง และโดยข้อมูลจาก School of Public Health at the University of California, Berkeley http://www.organicconsumers.org/monad.html ต้องใช้เวลานาน 7 ปีกว่าจะรวบรวมข้อมูลที่มีน้ำหนักเพียงพอจนสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับผลิตภัณฑ์ของมอนซานโต้ โดยข้อมูลดังกล่าวได้สรุปว่าสารออกฤทธิ์ glyphosate ในผลิตภัณฑ์ที่รวมถึง roundup ทำให้เกิดการเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากการใช้ยาฆ่าแมลงของเกษตรกรสูงเป็นอันดับที่ 3 โดยมอนซานโต้ยอมรับที่จะเปลี่ยนแปลงการโฆษณาดังกล่าวในนิวยอร์ค และยอมจ่ายเงิน 50,000 เหรียญเพียงเพื่อไม่ต้องการให้เกิดคดีความ แต่ยังยืนยันว่าโฆษณาของตนถูกต้องและไม่ได้ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและไม่ได้ทำผิดกฎหมายท้องถิ่น รัฐหรือสหพันธรัฐแต่อย่างใด นั่นหมายความว่าบริษัทไม่ได้ดำเนินการดังกล่าวในรัฐอื่นๆ ใช่หรือไม่
            บริษัทเร่งงานวิจัยเพื่อปล่อยสินค้าออกจำหน่ายโดยไม่มีการวิเคราะห์ผลกระทบต่างๆ ให้เพียงพอแม้แต่ผลกระทบต่อตัวผลิตภัณฑ์เอง ดังเช่น กรณี roundup ready soybean http://articles.mercola.com/sites/articles/archive/2012/01/15/dr-don-huber-interview-part-2.aspx
โดยมีการพบว่าการใช้สารออกฤทธิ์ glyphosate ทำลายเชื้อแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในดินซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคเพิ่มจำนวนขึ้นและมีการพัฒนาความรุนแรงของการก่อโรคด้วย โดยมีการพบเชื้อรา fusaria ที่ทำให้เกิดโรค “Sudden death syndrome” มากถึง 500% ที่ส่วนรากของต้นถั่วเหลือง
            บริษัทมีอิทธิพลต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐชนิดที่ว่าไม่สนใจที่จะดำเนินการใดๆ เพื่อทำให้ประชาชนได้ทราบข้อมูลที่แท้จริงที่เป็นแนวโน้มการก่ออันตรายต่อผู้บริโภคโดยสิ้นเชิงทั้งๆ ที่มีข้อมูล ผลการศึกษาและอุบัติการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น โดยกลางปีที่แล้วมอนซานโต้ได้เดินหน้าออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็นข้าวโพดหวานที่มีการใส่ทั้งยีนจาก BT-toxin และยีน Roundup ready โดยการอนุมัติของ EPA (Environmental Protection Agency) ทั้งๆ ที่ทราบข้อมูลต่างๆ มากมายว่า Bt-toxin แสดงพิษร้ายทัดเทียมกับ cholera toxin จากผลการทดสอบในหนู mice แม้กระทั่งทำปฏิกิริยากับอาหารอื่นซึ่งไม่เคยก่ออันตรายมาก่อน อุบัติการณ์ในคนก็พบคนงานฟาร์มมีการตอบสนองต่อ Bt-toxin ทางระบบภูมิคุ้มกัน และผู้คนกว่า 500 คนในวอชิงตันและแวนคูเวอร์แสดงอาการแพ้และมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่เมื่อสัมผัสสารโดยการสเปรย์เมื่อใช้มันฆ่าผีเสื้อ ทั้งๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ของ EPA ก็ออกมายอมรับว่าสารดังกล่าวสามารถแสดงศักยภาพเป็น antigen และสารก่อภูมิแพ้ได้แต่ก็ทำเป็นมองข้ามข้อมูลดังกล่าวไป
            แม้แต่ในคนที่รับประทานอาหารปกติชาวแคนาดาก็ถูกตรวจพบ Bt-toxin ในเลือดทั้งผู้ใหญ่และเด็กเกิดใหม่ จึงมีข้อสงสัยว่าจะปนเปื้อนมากับอาหารที่ใช้เลี้ยงปศุสัตว์และแน่นอนว่าสารดังกล่าวก็สามารถถูกถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกโดยผ่านทางรกซึ่งก็มีรวบรวมหลักฐานอย่างต่อเนื่องตลอดมาตั้งแต่มีการเริ่มปลูกพืชที่มียีนของ Bt-toxin ตั้งแต่ปี 1996
            มีการศึกษาการตรวจสุขภาพในคน พบว่าคนที่แม้จะเคยทานอาหาร GMO แม้เพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่ยีนจาก roundup ready soybean ที่ได้มาจากยีนของแบคทีเรียที่มอนซานโต้พบที่กองขยะสารเคมีซึ่งมีความทนทานต่อ roundup นั้น สามารถถูกถ่ายทอดไปยัง DNA ของแบคทีเรียในทางเดินอาหารของคนนั้นได้ ซึ่งก็จะยังคงอยู่ต่อไปแม้จะไม่ได้ทานอาหาร GMO แล้วก็ตาม แบคทีเรียดังกล่าวนี้ถูกเรียกว่า “roundup ready gut bacteria” เป็นการเรียกชื่อเหมือนประชดประชันแต่ก็ถูกต้องสมเหตุสมผลดี และหากมันเป็นสารแปลกปลอม สารก่อภูมิแพ้นั่นก็เท่ากับว่าเรามีการผลิตสารดังกล่าวขึ้นในตัวตลอดเวลาก็จะทำให้เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
            มีการตั้งรับหาหลักฐานว่าหาก Bt gene อยู่ในแบคทีเรียในทางเดินอาหารของผู้คนแถบทวีปอเมริกาเหนือ คงจะมีอุบัติการณ์ การเจ็บป่วยระบบกระเพาะอาหาร  โรคแพ้ภูมิตัวเอง แพ้อาหาร ความผิดปกติในการเรียนรู้ของเด็กเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นับจากพืชที่มียีน Bt เริ่มจำหน่ายในปี 1996 มันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานกว่า 16 ปีแต่ก็คงยังไม่มีน้ำหนักพอที่จะไปงัดข้อกับมอนซานโต้ได้ ก็คงต้องเก็บข้อมูลไปอีกนานมากทีเดียว
            มุมมองต่อการใช้ชีวิตอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาดูจะไม่มีทางเลือกในการบริโภคอาหารเหมือนถูกบังคับให้ทานพืชและสัตว์ GMO มันรู้สึกเหมือนเป็นการสะสมสารพิษในร่างกายซึ่งน่าจะแย่กว่าสารพิษที่มีในอาหารต่างๆ อย่างอื่นซึ่งเราก็บริโภคได้บ้างเพราะประเทศไทยเรามีอาหารหลากหลายให้บริโภค เรื่องราวของ GMO ในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีภาพลักษณ์เป็นประเทศแห่งประชาธิปไตยและความเท่าเทียมทางสิทธิและเสรีภาพ แท้ที่จริงนั้นกลับยากลำบากมากในการต่อสู้เพื่อให้ได้สิทธิอันชอบธรรมนั้นและช่างไม่น่าภูมิใจเลยกลับสิทธิการได้ทานอาหาร GMO ถ้วนหน้าถึงกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้รู้สึกโชคดีที่ประเทศไทยยังอยู่ภายใต้องค์กรที่ดูแลสุขภาพอนามัยของประชากรในโลกอย่าง FAO/WHO แต่กระนั้นก็ไม่สามารถไว้วางใจได้เลยที่จะไม่ติดตามสถานการณ์ เพราะอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอบนโลกใบนี้เพราะความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน

การแทรกแซงของพืช GMO


พืช GMO เป็นอีกหนึ่งแหล่งของวัตถุดิบอาหารที่อาจมีการนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร สถานการณ์การลุกล้ำเข้ามาทดแทนพันธุ์พืชปกติช่างเป็นสิ่งที่ต้องคอยติดตาม มีปัญหามากมายที่ยังคงต้องถกกันต่อไปไม่จบสิ้นแน่นอน http://www.thaibiotech.info/disadvantages-of-gmos.php ทั้งเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ห่วงโซ่อาหารในธรรมชาติ ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต ผลกระทบต่อร่างกายผู้บริโภค โครงสร้างของวัตถุดิบธรรมชาติที่มีส่วนประกอบเป็นของเทียมที่ได้มาจากสิ่งมีชีวิตอื่นจะกระทบต่อร่างกายมากน้อยแค่ไหน จะมีผลทำให้เกิดอาการแพ้หรือไม่ ร่างกายเสียสมดุลหรือเปล่า แบคทีเรียในร่างกายรับชิ้นส่วนยีนที่มาจากไวรัสแล้วจะเกิดการต่อต้านยาปฏิชีวนะหรือไม่ และผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจที่เป็นที่ทราบกันดีว่า ผลงานทรัพย์สินทางปัญญา สิ่งประดิษฐ์มีชีวิตเหล่านั้นหากผู้อื่นต้องการครอบครอง แน่นอนว่าจะต้องจ่ายค่าใช้สิทธิบัตร นั่นยิ่งเป็นการยอมตกเป็นเบี้ยล่างของบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศมหาอำนาจอย่าง มอนซานโต้
            http://www.gotomanager.com/news/printnews.aspx?id=94786 ถ้าไม่ตามข่าวก็คงไม่ทราบรายละเอียดความเป็นไปที่คิดว่าประเทศยุโรปปฏิเสธการยอมรับ GMO ตามข่าวดังกล่าวจากเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการได้รายงานว่ายังมีการดำเนินงานวิจัยและการรณรงค์ทางการตลาดเพื่อส่งเสริมอาหาร GMO ในเบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ และแน่นอนว่าสถานการณ์ต่อมาก็คือมีความขัดแย้งกับผู้ไม่เห็นด้วย เป็นเรื่องเป็นราวเป็นคดีความในความพยายามต่อต้านงานวิจัย GMO ของนักวิจัยกันต่อไป
แนวโน้มของสถานการณ์ในประเทศต่างๆ อย่างยุโรปยังอยู่ในภาวะเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหากมีรัฐบาลเป็นแกนนำดังเช่นตามที่ข่าวเสนอเพื่อให้เกิดการยอมรับพืช GMO มาปลูกเป็นอาหารก็ยากที่จะจับทิศทางการปนเปื้อนเข้ามาในห่วงโซ่อาหาร แล้วประเทศไทยล่ะ??? ยิ่งมีปัญหาแห้งแล้ง ฝนตกไม่ทั่วถึงบ้าง ตกมากจนน้ำท่วมบ้าง แมลงศัตรูพืชมาก ฯลฯ ปัญหาต่างๆเหล่านี้กลับจะเป็นวัตถุดิบข้อมูลให้บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างมอนซานโต้นำไปคิดค้นพืช GMO ใหม่ๆ เพื่อนำมาเสนอเป็นทางเลือกแก้โจทย์ประเด็นปัญหาความมั่นคงทางอาหารให้แก่ประชากรทั่วโลก ถ้าหากฝ่ายอนุรักษ์นิยมไม่สามารถตามแก้ปัญหาได้ทันและทั่วถึง ก็เป็นการยากที่จะควบคุมการทะลัก การปลอมปนของพืช GMO ต่างๆ ดังที่เคยมีกรณีมีการปล่อยให้ปนในแปลงเกษตรในหลายจังหวัดในหลายปีที่ผ่านมา http://www.ryt9.com/s/tpd/794584 หรืออย่างเช่นกรณีสงสัยมะนาวราคาถูกที่ทะลักมาจากประเทศเขมรและเวียดนามเมื่อเร็วๆ นี้ http://www.komchadluek.net/detail/20120308/124924......... ประกอบกับธุรกิจที่มีอิทธิพลอย่างเช่นกรณีมอนซานโต้ ซึ่งมีสาขาที่เป็นตัวแทนจำหน่ายในหลายจังหวัดในประเทศไทยและอยู่ในหลายๆ ประเทศทั่วโลกด้วย http://www.monsanto.com/whoweare/Pages/thailand.aspx http://www.monsanto.com/Pages/default.aspx กรณีอยู่ในแถบต่างจังหวัดซึ่งคลุกคลีกับเกษตรกร ไม่แน่ว่าอาจมีการดำเนินนโยบายทางการตลาดเพื่อให้เกษตรยอมรับพืช GMO โดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้
            เรื่องของห่วงโซ่อาหารเป็นสิ่งที่ควบคุมยากจริงๆ อย่างเช่น  กรณีของการนิยมนำเข้าถั่วเหลืองจากประเทศแถบทวีปอเมริกามาหีบเป็นน้ำมันพืชแล้วขายกากเป็นอาหารสัตว์ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=nahoad&month=05-04-2006&group=5&gblog=5  ประเด็นอาหารสัตว์......รู้สึกจะเป็นจุดตายของปัญหาความปลอดภัยของอาหารหลายกรณี มันมาจากอาหารสัตว์อีกแล้ว แล้วแน่นอนว่ามันก็ต้องเป็นส่วนหนึ่งในเนื้อสัตว์ และนั่นมันก็คงเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของเราไปแล้ว.....หรือเปล่า ????ฌ?ฯ

การประเมินความปลอดภันในอาหาร....สิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นทีนี่ ที่ประเทศไทย


เมื่อมีการคิดค้นสารเจือปนในอาหารตัวใหม่ออกมา สำหรับประเทศที่ต้องมีการยื่นเอกสารขออนุญาตใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารก่อนที่จะทำการจำหน่ายและ/หรือขอจดทะเบียนผลิตภัณฑ์ คาดว่าประเทศนั้นคงเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มักมีความคิดสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ มีเงินทุน มีศักยภาพในการผลิต และประเทศนั้นต้องมีระบบรองรับในการประเมินความปลอดภัย เพราะขั้นตอนการดำเนินการ ขอบเขตการวิจัย/ทดลอง รวมถึงบุคลากรและเงินทุนคงต้องใช้ทรัพยาการต่างๆ ตรงนี้มากทีเดียว
            ในแนวทางการประเมินความปลอดภัยนั้น หลังจากที่ทราบคุณสมบัติทางเคมีและกายภาพของสารเคมีดังกล่าวแล้วก็ต้องมีการประเมินการสัมผัสหรือการบริโภคนั่นเอง ซึ่งต้องให้ได้มาทั้งข้อมูลปริมาณและโอกาส ประเด็นนี้คงเป็นขั้นตอนและการดำเนินงานที่ต้องใช้ผู้รับผิดชอบจำนวนไม่น้อยในการออกสำรวจเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลจำนวนมากเพียงพอที่จะเป็นตัวแทนประชากรระดับประเทศได้ เมื่อได้ปริมาณที่เป็นตัวแทนแล้วก็ต้องผ่านกระบวนการทดลองกับสัตว์ทดลองหลายขั้นตอนมากมาย และสารบางตัวอาจจะต้องทดสอบถึงระดับความเป็นพิษเรื้อรังซึ่งอาจต้องใช้เวลานานเป็นปีๆ
            ดังนั้นโดยสภาพของอุตสาหกรรมในประเทศไทยโดยเฉพาะอุตสาหกรรมขนาดเล็กและขนาดกลางก็มักจะใช้สารเจือปนในอาหารอย่างง่ายที่เรียกกันว่า GRAS (Generally recognized as safe)  เช่น เกลือ น้ำตาล น้ำปลา ผงชูรส แบะแซ (glucose syrup) แต่ถ้าเป็นอุตสาหกรรมอาหารขนาดใหญ่ อุตสาหกรรมร่วมทุนข้ามชาติก็จะมีการใช้องค์ความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การอาหารเข้ามาช่วยในการปรับปรุงคุณลักษณะของอาหารให้มีคุณภาพดี มีลักษณะเหมาะสมในการรับประทานซึ่งก็มีการนำสารเจือปนต่างๆ มากมายมาใช้ ในประเทศไทยเองไม่ค่อยมีผู้ผลิตสารเจือปนชนิดใหม่ๆ เมื่อบริษัทต้องการจะใช้งานก็จะมีการนำเข้าจากประเทศผู้ผลิตโดยการขออนุญาตกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาก็จะใช้ผลการประเมินความปลอดภัยที่วิเคราะห์มาจากประเทศที่ผลิตนั้น ดังเช่นกรณี กลุ่มบริษัทอายิโนะโมะโต๊ะซึ่งมีบริษัทผลิต seasoning อยู่ทั่วโลก http://www.ajinomoto.com.my/2009/en/features/map.html  http://www.ajinomoto.com/contact_us/index.html  ซึ่งก็จะมีการสนับสนุนเพื่อการผลิตผลิตภัณฑ์อื่นของบริษัทในเครือที่ตั้งอยู่ทั่วโลก เช่นบริษัทผลิตอาหารแช่แข็ง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น http://www.ajinomoto.com/overview/index.html

การประเมินความปลอดภัยในอาหาร


            จากการค้นคว้า search ข้อมูลเกี่ยวกับ genetic toxicology Testing พบว่าในปัจจุบันมีวิธีการต่างๆ มากมายในการใช้ทดสอบความเป็นพิษด้านพันธุกรรมของสารเคมีต่างๆ  โดยประเทศที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มากคือ สหรัฐอเมริกาและประเทศในแถบทวีปยุโรป
            มีข้อสังเกตว่าในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีการจัดตั้งหน่วยงานเพื่อดูแลด้านนี้ ได้แก่ แผนกพิษวิทยาพันธุกรรมและโมเลกุล (Genetic and Molecular Toxicology) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดของ FDA มีการกำหนดขอบเขตงานอย่างหนึ่งคือการวิจัยหาสารพิษที่มาจากอาหารโดยให้ความสำคัญอันดับหนึ่งกับการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร http://www.fda.gov/AboutFDA/CentersOffices/OC/OfficeofScientificandMedicalPrograms/NCTR/WhatWeDo/ResearchDivisions/ucm079025.htm ประเด็นนี้ทำให้นึกถึงสภาพการใช้ชีวิตของสังคมอเมริกันที่อาจารย์ชณิพรรณและพี่หมอต่อศักดิ์เคยเล่าให้ฟังว่า คนอเมริกันนิยมรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกันมาก ทานกันทีละเป็นกำมือ อีกทั้งผลิตภัณฑ์ยังสามารถวางจำหน่ายผ่านระบบที่ไม่ต้องมีการตรวจประเมินความปลอดภัยเพื่อขออนุญาตกับFDA ด้วยซึ่งแตกต่างจากประเทศไทย เบื้องต้นก็คงคิดว่าเพราะเป็นประเทศที่มีการปกครองแบบให้สิทธิเสรีภาพกับประชาชนเต็มที่ แต่เบื้องลึกก็อาจมาจากอิทธิพลของนักธุรกิจการเมืองทั้งหลาย ที่จริงแล้วเป็นวิธีการแบบไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาชัดๆ หากเจ็บป่วยถึงตายกันก็ค่อยจะมาฟ้องร้องกันเอาทีหลัง ซึ่งมันไม่คุ้มเลยกับการสูญเสียโอกาสการใช้ชีวิตที่ปกติ ก็เป็นประเด็นที่น่าสงสัยว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะตรวจสอบได้ทันกับการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ของภาคธุรกิจหรือไม่
            ส่วนอีกข้อมูลหนึ่งที่ค้นเจอเป็นเรื่องของภาคธุรกิจที่แสดงบทบาทเป็นผู้สนับสนุนการดำเนินงานวิจัยเพื่อปกป้องมนุษย์ สัตว์และสิ่งแวดล้อมและมุ่งลดจำนวนการใช้สัตว์ในงานประเมินทางพิษวิทยา นั่นคือบริษัท Procter & Gamble (P&G) ได้มีการจัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาดำเนินงานร่วมกับ Alternatives Research & Development Foundation,     American Chemistry Council,     The Humane society of the United States,     Human toxicology project consortium,      American cleaning institute for better living http://alttox.org/ttrc/toxicity-tests/carcinogenicity/way-forward/aardema/ โดยมีการร่วมมือกันปรับปรุงวิธีการทดลองและคิดค้นวิธีการใหม่ๆ ในแบบ in vitro และ in silico (http://en.wikipedia.org/wiki/In_silico) คำศัพท์นี้เป็นคำใหม่ที่ไม่เคยทราบมาก่อน เข้าใจว่าเป็นการใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยจำลองสถานการณ์การก่อพิษในสิ่งมีชีวิต ซึ่งถ้าหากนักพิษวิทยาสามารถหาข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็นเกี่ยวกับสารพิษต่างๆ ที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว เช่น ลักษณะด้านกายภาพ เคมี เภสัชจลศาสตร์ ประวัติการก่อพิษ ฯลฯ จนนักคอมพิวเตอร์สามารถสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อทำนายการก่อพิษจากโครงสร้างของสารเคมีและแนวทางความเป็นพิษต่ออวัยวะเป้าหมายได้สำเร็จและถูกต้อง วันนั้นคงเป็นข่าวดีของมนุษยชาติอย่างมากที่จะสามารถใช้วิธีที่ง่ายดาย สามารถช่วยรักษาชีวิตของสัตว์ไปได้มาก แต่ก็ไม่ทราบว่าจะนานมากแค่ไหนที่จะทำได้เช่นนั้น เมื่อวันนั้นมาถึงสภาพชีวิตของนักพิษวิทยาคงต้องเปลี่ยนไปแน่นอนอย่างน้อยก็พอมองออกว่านั่นเป็นการใช้แรงงานมนุษย์ที่น้อยลง http://www.gta-us.org/scimtgs/2011Meeting/posters2011.html

Food Safety Evaluation


             HACCP (Hazard Analysis and Critical Control Point) เป็นระบบวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุมที่ใช้ในการจัดการอันตรายที่อาจติดมากับตัววัตถุดิบและที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการแปรรูปอาหารซึ่งตัวเองได้รับความรู้มาตั้งแต่เมื่อครั้งที่เรียนปริญญาตรีและได้ร่วมจัดทำกับทางบริษัทเมื่อตอนทำงาน นอกจากนั้นเคยได้รับการอบรมเพิ่มเติมในเรื่องระบบการจัดการความปลอดภัยอาหารอื่นที่เข้มงวดขึ้นไปอีก เช่น การวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk analysis) ประกอบด้วย การประเมินความเสี่ยง (Risk assessment) การจัดการความเสี่ยง (Risk management) และการสื่อสารความเสี่ยง (Risk communication) http://www.foodriskhub.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539311398&Ntype=3 จากการที่ได้อบรมครั้งนั้นทางบริษัทก็ยังไม่ได้นำมาบังคับใช้และจำได้แต่เพียงว่า มันได้มีการเรียนความรู้ใหม่ๆ มีเรื่องของระดับความเจ็บป่วยของการได้รับอันตราย มีการต้องอาศัยข้อมูลทางระบาดวิทยา จากประเด็นความรู้ใหม่ในครั้งนั้นสู่การเรียนในเรื่องพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ จึงได้มีแนวความคิดว่าความรู้ที่ได้ในระหว่างการเรียนหลักสูตรนี้น่าจะตอบโจทย์ที่มาของหลักการที่ใช้ในการประเมินระดับความเสี่ยงของอันตรายที่อาจมีในอาหารดังกล่าวได้
            การประเมินความปลอดภัยของสารเคมีในอาหาร ที่กำลังเรียนอยู่นี้ก็เป็นที่มาที่จะนำไปใช้ในการประเมินความเสี่ยงตามระบบดังกล่าวในส่วนของอันตรายด้านเคมีนั่นเอง โดยจากการค้นคว้าเพิ่มเติม http://www.foodnetworksolution.com/vocab/wordcap/risk%20assessment  พบว่าการประเมินความเสี่ยงมีอยู่ 4 ขั้นตอน คือ การระบุอันตราย (Hazard Identification) การประเมินการตอบสนองต่อปริมาณ (Dose-response assessment) การประเมินการได้รับสัมผัส (Exposure Assessment) การแสดงลักษณะเฉพาะของความเสี่ยง (Risk Characterization)
การระบุอันตราย  ในระบบการวิเคราะห์อันตรายนี้ จะคล้ายกับการการระบุอันตรายที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบ HACCP ในหลักการที่ 1 เรื่องการดำเนินการวิเคราะห์อันตรายใน 3 ด้าน คือ กายภาพ เคมีและชีวภาพ  http://www.kmitl.ac.th/foodeng/St-homepage/Code43/43010621/Hazard%20Analysis%20and%20Critical%20Control%20Point%20(HACCP)%20System.htm 
แต่ในระบบวิเคราะห์อันตรายจะให้พิจารณาอันตรายโดยเฉพาะในด้านเคมีและชีวภาพเนื่องจากการก่อพิษจะหลากหลายกว่าอันตรายด้านภายภาพที่จะชัดเจนอยู่ที่การทำให้บาดเจ็บที่ปาก และระบบนี้จะเน้นพิจารณาอันตรายที่มีพื้นฐานข้อมูลทางระบาดวิทยา การศึกษาทางระบาดวิทยา การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลัน (Acute toxicity) การทดสอบพิษกึ่งเฉียบพลัน (Subchronic toxicity) การทดสอบระยะยาว (Long term studies) การศึกษาการเกิดมะเร็ง (Carcinogenicity studies) การศึกษาการก่อกลายพันธุ์ (Mutagenic studies) การศึกษาในเชิงเมแธบอลิซึม (Metabolism) การศึกษาการเกิดลูกวิรูป (Teratogenic studies) และการศึกษาผลต่อระบบสืบพันธุ์ (Reproductive effect studies)
การประเมินการตอบสนองต่อปริมาณ  ก็เป็นการประยุกต์ข้อมูลความรู้ด้านพิษวิทยาจากข้อมูลเชิงระบาดวิทยาและการทดลองในสัตว์มาใช้เพื่อประเมินข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับขนาดและการตอบสนองต่อสิ่งที่เป็นอันตรายในแง่คุณภาพและปริมาณ ซึ่งคนที่ทำงานที่โรงงานอาหารส่วนใหญ่ก็มีความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร ประเด็นนี้จึงคงเป็นเรื่องปวดหัวทีเดียวหากบริษัทไหนที่เริ่มทำระบบเพราะต้องมานั่งเรียนสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน
การประเมินการได้รับสัมผัส  เป็นการประเมินในเชิงคุณภาพหรือในเชิงปริมาณถึงความเป็นไปได้ที่ผู้บริโภคหนึ่งคนหรือประชากรหนึ่งกลุ่มจะได้รับสารพิษหรือจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคผ่านทางอาหารเข้าสู่ร่างกายรวมทั้งปริมาณที่ได้รับประเด็นนี้ก็อาจเป็นได้ทั้งในส่วนที่มีงานศึกษาวิจัยทำไว้ แต่ถ้าหากไม่มีทางบริษัทก็ต้องประเมินเองตามแนวทางของข้อมูลโภชนาการที่กำหนดหนึ่งหน่วยบริโภคไว้ประกอบกับการพิจารณาความถี่ของการรับประทานด้วย
 การแสดงลักษณะเฉพาะของความเสี่ยง  เป็นการรวมเอาข้อมูลและผลการวิเคราะห์จากทั้ง 3 ขั้นตอนข้างต้นมาใช้ระบุถึงโอกาสที่ผู้บริโภคจะได้รับอันตรายและความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการได้รับสารพิษและเชื้อจุลินทรีย์ แล้วอาจจะสื่อออกมาเป็น ระดับความรุนแรงซึ่งตามระบบการจัดการมักจะต้องการให้มีการจัดลำดับความสำคัญเพื่อให้ผู้ประกอบการผลิตอาหารมีการจัดการที่เหมาะสมตามลำดับความสำคัญนั้นและมีการสื่อสารความเสี่ยงเพื่อให้การจัดทำระบบมีประสิทธิภาพและเกิดสัมฤทธิผล
ขั้นตอนต่างๆ ในระบบการประเมินความเสี่ยงสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร  http://www.nfi.or.th/th/activity-detail.php?tid=207  เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำความเข้าใจเพื่อจัดทำระบบโดยเฉพาะบริษัทที่มีการส่งอาหารออกไปจำหน่ายยังประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งต้องการให้บริษัทส่งออกมีการดำเนินการให้ผ่านเกณฑ์ของระบบต่างๆ เช่น BRC, IFS, SQF, FSSC 22000 เป็นต้น การได้มาเรียนหลักสูตรพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการก็จะมีประโยชน์ในการเป็นฐานความรู้ให้เกิดความเข้าใจถึงที่มาในการกำหนดค่าหรือระดับของสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาหารอันอาจก่ออันตรายต่อผู้บริโภคได้ ซึ่งก็จะช่วยให้เกิดความเข้าใจเมื่อได้มีส่วนร่วมในการดำเนินการจัดทำระบบดังกล่าว  

นาโนเทคโนโลยี... กับการติดตามการจัดการความเสี่ยง




ปัจจุบันในประเทศเยอรมันนีมีการผลิตโดยทำการบรรจุใส่ขวดน้ำพลาสติกเฉพาะขึ้นมาเก็บอาหารเสริมที่เป็นผงไว้ตรงบริเวณฝาขวด ด้านล่างเป็นน้ำ เมื่อลูกค้าซื้อไปหมุนเปิดขวดแคปซูลที่เก็บผงอาหารเสริมไว้จะแตกออกลงไปผสมในขวดhttp://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1323856763&grpid=03&catid=03 เป็นคำบรรยายถึงผลิตภัณฑ์อาหารที่ใช้นาโนเทคโนโลยี ซึ่งตามนิสัยส่วนตัวก็จะรู้สึกตื่นเต้นและก็แทบจะจองตั่วนั่งรอการเปิดตัวของผลิตภัณฑ์ถ้าหากมาขายในประเทศไทย
ทุกวันนี้เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่ามีการคิดค้นผลิตภัณฑ์โดยใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นแทบทุกวันเพราะประเทศผู้คิดค้นเทคโนโลยีด้วยมีประชากรนักคิดมีอยู่มากมายทีเดียว แต่เบื้องหลังทุกสิ่งนั้นเป็นไปเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจหรือจะพูดง่ายๆ ก็คือต้องการผลกำไรนั่นเอง ผลประโยชน์เป็นสิ่งที่แทบจะมีอิทธิพลเหนือทุกสิ่งเป็นแรงผลักดันให้ผู้ประกอบการทำทุกวิถีทางที่จะต้องยืนหยัดให้เหนือกว่าคู่แข่งขันให้ได้ วงจรการคิดค้นและผลิตสินค้าใหม่ๆจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยแทบไม่คำนึงถึงผลเสียที่อาจเกิดขึ้นจากตัวสินค้า ซึ่งยิ่งถ้าหากเจ้าหน้าที่รัฐผู้ดูแลสวัสดิภาพของประชาชนในประเทศติดตาม ควบคุม ดูแล สิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่ทันก็อาจเป็นการปล่อยให้ผลิตภัณฑ์ก่ออันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภคได้
แต่ละประเทศก็อาจมีรายละเอียดของแนวทางการป้องกันผลกระทบของผลิตภัณฑ์ต่อผู้บริโภคที่ต่างกันไป เช่นในประเทศสหรัฐอเมริกาที่เราทราบกันดีว่าเป็นประเทศแห่งเสรีภาพก็เป็นรูปแบบที่ให้อิสระแก่ผู้ประกอบการในการปล่อยผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดแล้วจึงใช้กฎหมายตามควบคุมหากผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อน แต่ประเด็นของการบังคับใช้กฎหมายได้กับผู้ประกอบการนั้นถูกวางว่าต้องเห็นผลเสียที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนกับผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์ ระดับที่เรียกว่า acute toxicity และถ้าหากเป็นผลสะสมเป็นแบบเรื้อรัง การณ์ก็กลับกลายเป็นว่าภาระพิสูจน์ความผิดกลับตกอยู่ที่ผู้บริโภคเช่นดังกรณี แมคโดนัลล์ ที่มีผู้บริโภคหลายรายดำเนินการฟ้องร้องแต่ก็แทบจะไม่มีผลใดๆ เลยที่จะเปลี่ยนแปลง และแมคโดนัลลก็เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมการบริโภคซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ก็ได้ทราบข่าวว่า แมคโดนัลล์สั่งห้ามร้านค้าโดยรอบบริเวณเมืองลอนดอนขายมันฝรั่งด้วยทางบริษัทเป็นผู้สนับสนุนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ข่าวดังกล่าวตอกย้ำคำว่า เงินทองมันไม่เข้าใครออกใครจริงๆแล้วประเทศที่มีนักวิจัยเก่งๆ มีงานวิจัยเยอะๆ จะไม่ทราบชะตากรรมของผู้นิยมการทานอาหารในแบบเมนูของแมคโดนัลล์เลยเหรอ แน่นอนว่าเป็นที่เผยแพร่ให้ความรู้ว่าอาหารดังกล่าวทำให้ประชากรอเมริกันเป็นโรคอ้วนมากถึงระดับสองในสามนับจนถึงปัจจุบัน แล้วทำไมไม่มีแรงผลักดันใดๆ สามารถทำให้เกิดการควบคุมที่มีผลในทางกฎหมายได้เลยหรือ มันเป็นสิ่งที่คลุมเครือซึ่งเรามักจะเรียกมันว่า มันเป็นเรื่องของการเมือง
นาโนเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนามานานหลายปีในประเทศสหรัฐอเมริกาก็มีสินค้าวางจำหน่ายอยู่หลายประเภครวมถึงอาหาร ซึ่งก็เป็นเสียงจากผู้บริโภคอีกเช่นเดิมที่ต้องการให้ FDA บังคับให้มีการทดสอบความปลอดภัยและทำการติดฉลากผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องสำอางที่มีวัสดุนาโนเป็นองค์ประกอบก่อนทำการวางขายในท้องตลาด แต่ทาง FDA กลับมีเพียงข้อเสนอที่แนะนำให้ผู้ประกอบการเข้ามาขอรับคำปรึกษาก่อนวางจำหน่ายสินค้าซึ่งแน่นอนว่าประเทศที่เต็มไปด้วยอิสระภาพเต็มพิกัดเช่นนี้ผู้ประกอบการมีหรือที่จะต้องมาดำเนินการสิ่งที่เสียเวลาโดยใช่เหตุแห่งกำไร FDA กลับทำได้เพียงออกคำแนะนำสำหรับการทดสอบความปลอดภัยที่เป็นมาตรฐาน http://www.nstda.or.th/nstda-knowledge/8500-science-technology-news  และแนะนำให้ผู้ประกอบการมีแนวทางการปฏิบัติเพื่อให้มีการอนุมัติก่อนปล่อยผลิตภัณฑ์ออกสู่ท้องตลาด http://www.actio.net/default/index.cfm/actio-blog/nanotech-in-food-new-fda-guidelines/    ซึ่งแนวทางการปฏิบัติที่เน้นเชิงรับมากกว่าเชิงรุกนี้อาจเป็นการชี้ชะตาชีวิตของคนบางกลุ่มให้ได้รับอันตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์ ดังเช่นที่เคยเกิดอุบัติการณ์จากไขมันทรานส์ซึ่งกว่าจะทราบแน่ชัดจนมั่นใจว่าก่อปัญหาโรคหัวใจจนดำเนินการออกกฎหมายที่เคร่งครัดก็แทบจะกล่าวได้ว่าแลกมาด้วยชีวิตของคนจำนวนไม่น้อย ตั้งแต่เมื่อเริ่มการผลิตครั้งแรกในสหรัฐในปี 1911 ซึ่งใช้เวลานานมากกว่างานวิจัยจะได้รับการยอมรับเพื่อในไปใช้บังคับให้เป็นผลทางกฎหมายในปี 2008 โดยในปี 1994 มีการประมาณการว่ามีผู้เสียชีวิตจากไขมันทรานส์ปีละ 20,000 คน http://en.wikipedia.org/wiki/Trans_fat
            ในประเทศไทยเรานั้นก็เช่นกันว่าต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมทั้งอาหารที่สร้างจากนาโนเทคโนโลยี ตั้งแต่ครีมกันแดดนาโน โลชั่นบำรุงผิวนาโน ยารักษาโรคนาโน  สีทาบ้านนาโน กระจกแบบนาโน เสื้อผ้านาโน  ถุงเท้านาโน  ผงซักฟอกนาโน  เครื่องซักผ้านาโน โรลออนทารักแร้นาโน แป้งทาตัวนาโน ไม้เทนนิสนาโน ลูกกอล์ฟนาโน เครื่องกรองน้ำนาโน จักรยานนาโน วัสดุก่อสร้างนาโน ฯลฯ และจากการพบข่าวความเคลื่อนไหวในการดำเนินงานของทาง อย. ซึ่งมีงานประชุมวิชาการประจำปีในหัวข้อ โลกเปลี่ยน...ความเสี่ยงเปลี่ยนก็รู้สึกเป็นที่น่ายินดีที่ประเด็นของนาโนเทคโนโลยีได้รับความสำคัญในการนำไปพิจารณาแนวโน้มที่อาจก่อผลกระทบทั้งต่อตัวมนุษย์และสิ่งแวดล้อม    http://www.thairath.co.th/today/view/196148  โดยนายแพทย์พิพัฒน์กล่าวว่า อนุภาคขนาดเล็กนั้นมีโอกาสแทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย ผ่านทางอวัยวะและเม็ดเลือดได้ โดยเฉพาะสารนาโนบางตัวเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว ไม่สามารถขับถ่ายออกมาได้ เมื่อเข้าไปสะสมในปริมาณมากอาจก่อให้เกิดความเป็นพิษและส่งผลเสียต่อสุขภาพ  นอกจากนี้ยังมีผงซักฟอกชนิดซิลเวอร์นาโน ซึ่งอวดอ้างว่าสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ ทั้งที่ยังไม่มีผลการศึกษาว่าเมื่อซักล้างแล้ว ปล่อยน้ำทิ้งลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ ความเป็นพิษของโลหะเงิน (ซิลเวอร์) จะตกค้างหรือสะสมอยู่ในสภาพแวดล้อม อาจไปสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และห่วงโซ่อาหารได้หรือไม่ และดร. ไร เซนเจนกล่าวว่า http://www.sarakadee.com/2012/03/12/nano-product/ การใช้นาโนเทคในอาหารอาจเป็นอันตราย มีข้อมูลเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่าวัสดุนาโนบางชนิดผลิตอนุมูลอิสระที่จะทำลายหรือเลียนแบบดีเอ็นเอ และสามารถสร้างความเสียหายให้แก่ตับและไตได้
            ก็ยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามกันต่อไปว่าทางอย. และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจะมีแนวทางการดำเนินการอย่างไรในการกำหนดให้มีการทดสอบ ประเมินอันตรายเพื่อการคุ้มครองดูแลผู้บริโภค
                                                                                        

ถั่วเหลือง......โปรตีนราคาถูก แต่มากด้วยคุณค่า


ถั่วเหลืองเป็นอาหารที่ได้ทานบ่อยๆ ตอนอยู่ที่บ้าน คงเป็นเพราะหลายหมู่บ้านแถบนั้นนิยมปลูกกัน เวลาพ่อไปตลาดตอนเช้าก็จะซื้อมาให้กิน หรือบางทีก็มีชาวบ้านที่ปลูกและต้มเองมาตระเวณขาย ถั่วเหลืองทานง่ายและอร่อย รสชาติดี ยิ่งเป็นถั่วเหลืองระยะแก่พอดีจะมันมาก แต่ตอนไปเรียนหรือทำงานก็ไม่ได้มีวิถีชีวิตแบบนี้ก็เลยไม่ค่อยได้ทานแบบต้มสด มันแสดงให้เห็นถึงรูปแบบการดำเนินชีวิตของคนเราที่ไม่แน่ไม่นอนขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง  สภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศก็บอกได้ถึงการเกษตร แหล่งอาหาร รูปแบบอาหารการกิน การใช้ชีวิต
            ปกติพ่อไปตลาดก็จะซื้อน้ำเต้าหู้มาด้วยบ่อยๆ อีกเช่นกัน พอมาใช้ชีวิตนอกบ้านอย่างนี้ก็ต้องพึ่งเป็นนมถั่วเหลืองกล่อง UHT แทน ชอบทานนมถั่วเหลืองเพราะทานแล้วรู้สึกเบาสบายท้อง ไม่เช่นนั้นถ้าเป็นนมวัวก็จะกินนมเปรี้ยวแทนต้องเลือกยี่ห้อที่ทานแล้วรู้สึกเบาๆ บางยี่ห้อกินแล้วรู้สึกแน่นท้องก็ไม่ชอบ นมโคแบบจืดก็เคยทานแล้วมีกลิ่นคาวมากก็เลยไม่ชอบ นมช็อคโกแลตหรือนมสตรอเบอรี่ก็ไม่ค่อยเห็นมากเท่าไหร่ก็เลยไม่ค่อยได้ทาน
เรื่องชอบหรือไม่ชอบอาหารอะไรก็คงแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ปุถุชนคนธรรมดาคงยากที่จะครองสติใช้ปัญญาได้ตลอดเวลา กับเรื่องทานอาหารที่ทานแล้วอิ่มมีความสุข ถ้าหากต้องรู้ว่าของชอบบางอย่างก่ออันตรายก็คงจะรับฟังแต่มันคนละเรื่องก็การเลือกกินสินะ มันทำให้คิดว่าการเลี้ยงดูมีความสำคัญกับชีวิตคนมาก คนที่ถูกเลี้ยงดูมาให้ทานอาหารได้หลากหลายก็จะสามารถใช้ชีวิตได้ไม่ลำบากปรับตัวได้กับทุกสถานการณ์ ถูกฝึกมาให้ทานผักได้ ไม่ทานอะไรซ้ำซาก ก็เป็นโชคดีถือว่าเป็นบุญเป็นพรประเสริฐที่พ่อแม่มอบให้เลยก็ว่าได้เพราะมันเป็นสิ่งที่จะติดตัวคนๆ นั้นไปตลอด และบอกได้ว่าสุขภาพเขาจะเป็นอย่างไร จะป่วยง่ายไหม มีความเสี่ยงต่อโรคอะไรหรือเปล่า ถ้าพ่อแม่ไม่แข็งใจ ไม่มีกุศโลบายในการเลี้ยง การฝึกลูกมาแต่เล็ก ไม่มองถึงอนาคตการใช้ชีวิตของลูก เอาแต่ให้เหตุผลว่าสงสารลูก ไม่อยากบังคับจิตใจแล้วตัวเองก็ไม่จิตวิทยาในการสั่งสอน   นั่นแหละภาพของพ่อแม่ที่แสนดีตรงนั้นสักวันหนึ่งก็จะกลายเป็น พ่อแม่รังแกฉัน
นมถั่วเหลือง UHT เป็นอาหารดีๆ นี่แหละในยามหิว ดีจังนะที่มันมีประโยชน์มากกว่าอิ่มท้อง แต่ได้สารอาหารตามโภชนาการด้วย  และยังมี phytonutrient, antioxidant, anticarcinogen, antimutagen ได้แก่ vitamin E, saponin, phytic acid, linoleic acid, genistein, daizein, anthocyanin และ phenolic compounds อีกด้วย และตามที่ได้ค้นคว้าจาก google ได้ทราบว่าถั่วที่หมักด้วยเชื้อราเป็นการเพิ่มฤทธิ์ของสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านการกลายพันธ์ให้สูงด้วย (http://www.mannature.com/view.asp?ID=212)
นั่นสินะ นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่คนญี่ปุ่นทานนัตโตะและซุปมิโชะเป็นประจำบนโต๊ะอาหาร ก็อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สุขภาพแข็งแรงและอายุยีน มันเป็นอาหารที่มีทั้งโพรไบโอติกและสารมีประโยชน์ต่อการป้องกันโรค นึกไปว่าแถวบ้านแถบภาคเหนือก็มีการนิยมทานถั่วเน่าสด ถั่วเน่าแผ่น  ใช้ปรุงอาหารใส่ในน้ำพริกอ่อง น้ำเงี้ยว ดีจังเลยที่มันเป็นอาหารดีมีประโยชน์ที่เราชอบทานอยู่แล้ว รู้สึกว่าการทานถั่วนี่มันคุ้มค่าเงินจริงๆ ราคาไม่สูงแต่ได้สารมีประโยชน์มากมาย
มีประโยชน์โดยเฉพาะจากสารไอโซพลาโวนซึ่งเป็นไฟโตเอสโตรเจน ช่วยหล่อเลี้ยงระบบฮอร์โมนเพศให้สมดุลอยู่เสมอ และตามที่มีงานวิจัยรองรับก็ทำให้ได้รู้ว่าหนึ่งในสารไอโซฟลาโวนที่มีประโยชน์มากก็คือ เจนิสตีน สามารถป้องกันโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก ประเด็นนี้ทำให้คิดถึงพ่อขึ้นมา เช่นนั้นต้องบอกให้พ่อกับแม่กินถั่วเหลือง น้ำเต้าหู้เป็นประจำ และก็อย่าลืมเอาถั่วเน่ามาใส่น้ำพริกอ่องกับน้ำเงี้ยวด้วยแล้วล่ะ
ถ้าเซลล์ร่างกายของเรากำลังเริ่มก่อตัวเป็นมะเร็งอยู่นิดๆ นมถั่วเหลืองนี่แหละคงช่วยชีวิตเราได้ ทุกครั้งที่จะซื้อหรือดื่มมันเราก็จะคิดเป็นภาพเจนิสตินช่วยขัดขวางการโตของเซลล์มะเร็ง ทำให้มันตายแบบ apoptosis และขัดขวางการสร้างเส้นเลือดเข้าเลี้ยงเซลล์มะเร็ง
ประโยชน์มากมายอย่างนี้ช่างน่าสงเสริมให้รับประทานเสียจริงๆ โปรตีนราคาถูกแต่คุณค่าสูง ของถูกก็มีดีได้นะ เช่นนี้นี่เองอาจารย์จึงมักย้ำให้ฟังอยู่บ่อยๆ ถึงศักยภาพของเจ้าเจนิสตินในถั่วเหลือง



อาหารเป็นยา : บริโภค 'ถั่ว' ป้องกัน 'มะเร็ง'

ประจำวันที่ : 1 ส.ค. 54





http://www.mannature.com/image.aspx?ID=657


ถั่วจัดเป็นพืชอาหารที่สำคัญ มีราคาถูกและให้คุณค่าทางโภชนาการดี จึงมีการปลูกและบริโภคในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งประเทศกำลังพัฒนาและพัฒนาแล้ว เช่น คนพื้นเมืองในประเทศแถบอเมริกาใต้ แอฟริกาใต้ และแอฟริกาตะวันออก บริโภคถั่วเป็นอาหารพื้นฐาน
      
       โดยถั่วที่สำคัญ 3 อันดับแรก ได้แก่ ถั่วเหลือง ถั่วลิสง และถั่วดำ ตามลำดับ
      
       
ถั่วเป็นแหล่งโปรตีนจากพืชที่สำคัญ (16-33%) เทียบเคียงกับปริมาณโปรตีนในเนื้อสัตว์ แต่มีราคาถูกกว่า และยังอุดมไปด้วยใยอาหาร (14-19%), คาร์โบไฮเดรต, แร่ธาตุ (Ca, Fe, Cu, Zn, P, K, Mg) และวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย (folate, riboflavin,vitamin B6)
      
       นอกจากนี้ถั่วบางชนิดยังได้มีการแปรรูป เช่น การหมัก ซึ่งสามารถเพิ่มคุณค่าทางสารอาหารและเพิ่มปริมาณของสาร phytochemicals ที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายให้มากขึ้นอีกด้วย ทำให้ถั่วเมล็ดแห้งและผลิตภัณฑ์เป็นอาหารเพื่อสุขภาพอีกชนิดหนึ่งที่น่าสนใจ
      
       แต่ในอดีตได้มีความกังวลเกี่ยวกับสารต้านอาหารในถั่ว แต่งานวิจัยได้พิสูจน์แล้วว่ากระบวนการให้ความร้อนสามารถทำลายสารต้านอาหารดังกล่าวได้
      
       
ในปัจจุบันงานวิจัยได้ให้ความสนใจประโยชน์ของถั่ว โดยพบว่าการบริโภคถั่วมีความสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน โรคอ้วน โรคระบบย่อยอาหาร และมะเร็ง โดยเชื่อว่าคุณสมบัติในการป้องกันดังกล่าวเป็นเพราะมีสารประกอบฟีโนลิค (ฟีโนลิค ฟลาโวนอยด์ และแทนนิน)
      
       สารประกอบฟีโนลิคมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เนื่องจากมีกลุ่มไฮดรอกซิลในโครงสร้าง นอกจาก นี้ยังมีการศึกษาฤทธิ์ต้านก่อกลายพันธุ์ในสัตว์ทดลอง พบว่าหนูได้รับสารอาหารที่มีถั่วดำผสมอยู่นาน 15 วัน ก่อนเหนี่ยวนำให้ดีเอ็นเอและโครโมโซมเสียหายด้วย cyclophosphamide แล้วตรวจผลการต้านการกลายพันธุ์ด้วยวิธี comet assay ในเซลล์เม็ดเลือดขาว พบว่า หนูกลุ่มที่ได้รับอาหารผสมถั่วดำสามารถลดความเสียหาย ของดีเอ็นเอได้เมื่อเทียบกับหนูกลุ่มที่ได้รับอาหารปกติ
      
       นอกจากนี้เมื่อศึกษาความเสียหายของโครโมโซมด้วยวิธี micronucleus test ใน bone marrow erythrocytes พบว่าหนูกลุ่มที่ได้รับถั่วดำสามารถลดความเสีย หายของโครโมโซมได้เมื่อเทียบกับหนูที่ได้รับอาหารปกติ
      
       ทั้งนี้อาจเกิดจากกลไกที่สารในถั่วดำสามารถยับยั้งระบบเอนไซม์กระตุ้นสารพิษ (cytochrome P450) ทำให้ cyclophosphamide อยู่ในรูป active metabolites ได้ลดลง เป็นผลให้ดีเอ็นเอถูกทำลายลดลง หรืออาจเกิดจากสารในถั่วดำเข้าจับกับโมเลกุลของ cyclophosphamide ทำให้ลดการดูดซึมสารดังกล่าว
      
       นอกจากนี้ถั่วต่างๆ มีปริมาณใยอาหารมาก จึงได้มีการศึกษาผลของถั่วในการลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ โดยให้หนูทดลอง 3 กลุ่ม ได้รับอาหารที่มีถั่ว black-eyed peas, pinto beans, soybeans ผสมอยู่ 20% พบว่าอาหารที่ผสมถั่วสามารถลดการเกิดความเสียหายกับเซลล์ลำไส้ที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยสาร azoxymethane ได้ เนื่องจากใยอาหารในถั่วได้ถูกแบคทีเรียในลำไส้ย่อยให้เป็นกรดไขมันสายสั้น (butyric acid) ซึ่งมีคุณสมบัติในการยับยั้งการเจริญหรือทำให้เซลล์ลำไส้ที่ผิดปกติที่จะพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็งตายลงได้
      
       นอกจากนี้สารประกอบฟีโนลิคและฟลาโวนอยด์ในถั่วยังสามารถกระตุ้นเอนไซม์ทำลายสารพิษ glutathione-s-transferase (phase II) จึงเพิ่มการขับสาร azoxymethane ออกจากร่างกายได้อีกด้วย
      
       ผลิตภัณฑ์ถั่วหมัก ได้มีการศึกษาหมักถั่วเหลือง ถั่วดำ (black soybean) ด้วยเชื้อราชนิดต่างๆ ที่ใช้ใน อุตสาหกรรมอาหาร พบว่าการหมักถั่วเหลืองดำด้วยเชื้อรา Aspergillus awamori ทำให้คุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น และสามารถเพิ่มปริมาณสารประกอบฟีโนลิคและฟลาโวนอยด์ได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับถั่วเหลืองดำที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการหมัก และสามารถยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ของสารก่อกลายพันธุ์บางชนิด (4-nitroquinoline-N-oxide และ benzo[a]pyrene) ใน Ames test ได้
      
       เนื่องจากถั่วและผลิตภัณฑ์มีสารประกอบที่มีศักยภาพในการต้านการกลายพันธุ์ ได้แก่ vitamin E, saponin, phytic acid, linoleic acid, genistein, daizein, anthocyanin และ phenolic compounds ซึ่งในระหว่างกระบวนการหมัก เชื้อราที่ใช้หมัก สามารถผลิตเอนไซม์ Beta-glucosidase เพื่อทำการตัดพันธะ Beta-glycosidic ในโมเลกุลของไอโซฟลาโวนอยด์ที่อยู่ในรูปมีน้ำตาลเกาะอยู่ (isoflavones glycosides) ให้อยู่ในรูปที่ไม่มีน้ำตาลเกาะ (aglycones) ทำให้เพิ่มฤทธิ์ต้านการกลายพันธุ์ได้
      
       ซึ่งงานวิจัยเหล่านี้สามารถใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานที่จะสนับสนุนให้การบริโภคถั่วและผลิตภัณฑ์ถั่วหมักเป็นอาหารเพื่อสุขภาพต่อไป เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้
      
       
• กินถั่วอย่างไรให้ปลอดภัย
      
       - หลีกเลี่ยงถั่วค้างคืน ถั่วคั่ว โดยเฉพาะถั่วที่ใส่ในก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ หรืออาหารชนิดเป็นเส้น (ถ้าทำกินเองควรกินให้หมดใน 1 วัน ถ้าไม่หมดควรใส่ในตู้เย็น และกินให้หมดในวันถัดไป)
      
       - เลือกกินถั่วสด เช่น ถั่วพู (ถั่วพูมีคุณสมบัติพิเศษ คือ แคลเซียมในถั่วชนิดนี้ดูดซึมได้เกือบเท่าแคลเซียมใน นม) ถั่วฝักยาว ฯลฯ ถั่วประเภทนี้เกือบไม่มีโอกาสขึ้นราเลย
      
       - หลีกเลี่ยงถั่วทอด-ถั่วผัด เพราะการทอดหรือผัดทำให้น้ำมันชนิดดีในถั่วซึมออก น้ำมันที่ใช้ทอด (ส่วนใหญ่เป็นน้ำมันปาล์ม) ซึมเข้า ทำให้ไม่ได้รับไขมันชนิดดี
      
       - หลีกเลี่ยงถั่วที่ผ่านการผลิต ซึ่งส่วนใหญ่จะเติมเกลือ เช่น ถั่วต้มมักจะต้มในน้ำเกลือ ถั่วทอดก็คลุกเกลือ ฯลฯ การกินเกลือมากเกินเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูง
      
       - ไม่ควรกินถั่วชนิดเดิมซ้ำซากทุกวัน เนื่องจากถ้าถั่วชุดนั้นมีสารพิษ เช่น สารก่อมะเร็ง ยาฆ่าแมลง ฯลฯ ปนอยู่ ตับจะได้มีเวลาพักผ่อน และฟื้นตัวจากสารพิษได้ก่อนที่ตับจะป่วย
       
       (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 128 กรกฎาคม 2554 โดย กัลยารัตน์ เครือวัลย์ สถาบันโภชนาการ ม.มหิดล)


       สำคัญอย่างไร
ถั่วเหลือง มีทั้งคาร์โบฮัยเดรทเชิงซ้อน และโปรตีนที่ไม่ปนไขมันอิ่มตัวสายโมเลกุลยาวแบบเนื้อสัตว์ ไม่มีสาร อดรีนาลีนที่สัตว์มักหลั่งด้วยความตกใจ ขณะถูกฆ่า ไม่มีฮอร์โมนเร่งโต หรือปฏิชีวนะจากการเลี้ยงสัตว์ มีแคลเซียมในสัดส่วนที่ไม่ล้นเกินแมกนีเซียมแบบนมวัว มีวิตามินแร่ธาตุมากหลายที่สำคัญคือ ฮอร์โมนพืช...ไอโซฟลาโวน
ฮอร์โมนเอสโตรเจนจากพืชธรรมชาติ (Phytoestrogen) นอกจากช่วยในการดูดซึมแคลเซียม บรรเทาภาวะกระดูกพรุนแล้ว การได้รับแต่เนิ่นๆ ยังช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมในหญิง และมะเร็งต่อมลูกหมากในชาย ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการฉีดหรือกินฮอร์โมนสังเคราะห์
  ยังมีอะไรในถั่วเหลือง
คาร์โบฮัยเดรทเชิงซ้อน เป็นอาหารสมบูรณ์แบบสำหรับผู้ต้องการลดน้ำหนัก เพราะให้ความรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ให้พลังงานที่เผาผลาญช้าๆ
แต่ทนนานสม่ำเสมอ 
เส้นใยชนิดไม่ละลายน้ำ ช่วยป้องกันอาการท้องผูก ช่วยให้อาหารผ่านระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้น เมื่อของเสียไม่หมักหมม การดูดซึมสารพิษไม่เกิด ลดความระคายเคืองต่อเยื่อบุลำไส้ จึงลดความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่ 
เส้นใยชนิดละลายน้ำ เป็นตัวแปรสำคัญในการผลิตโคเลสเตอรอลดี ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ลดระดับกลูโคสในเลือด จัดเป็นอาหารทางเลือกสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
ซาโปนิน ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลเลว LDL
โฟเลท จำเป็นต่อการพัฒนาตัวอ่อน ลดระดับโฮโมซิสเทอีน อันเป็นสารอันตรายต่อระบบหัวใจหลอดเลือด
เลซิทิน มีผลในการลดไขมัน เสริมสร้างการทำงานของระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำ
ลิกแนน สารยับยั้งโปรทิเอส เอนไซม์ ป้องกันมะเร็ง
และที่สำคัญคือเจนิสติน และโปรตีนพืช !

  แล้วดีอย่างไร

ฮอร์โมนพืชทำงานคล้ายๆ ฮอร์โมนเอสโตรเจนของคน จึงเรียกไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) มีข้อเด่นคือ เร่งการเจริญเติบโตของเซลล์ปกติ พร้อมยับยั้งเซลล์เนื้องอก ในขณะที่ estrogen ของคนหรือสารสังเคราะห์ กระตุ้นทั้งเซลล์ปกติและเนื้องอกมะเร็ง โดยพบว่า Hormone Replacement Therapy–HRT ที่คิดว่าใช้ได้ผลดีสำหรับสตรีวัยทอง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 80% ในปีแรก และเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม 26% สมองขาดเลือด 41% หัวใจวาย 29%
ไฟโตเอสโตรเจนมีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนจึงจับคู่กับ ตัวรับเอสโตรเจนในเซลล์ได้ ไฟโตเอสโตรเจนไม่ทำให้ระดับเอสโตรเจนในเลือดเปลี่ยนแปลง (ถ้าร่างกายมีเอสโตรเจนต่ำ) แต่จะต้านฤทธิ์ของเอสโตรเจน หากร่างกายมีเอสโตรเจนมากเกินไป จึงเป็นการลดความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม และมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน
ผู้ชายมีฮอร์โมนเอสโตรเจน แต่จำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากมีมากจะเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมาก ไฟโตเอสโตรเจนจากพืชจึงป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากได้
ส่วนหญิงวัยทอง จะมีเอสโตรเจนน้อยลง เชื่อกันว่าไฟโตเอสโตรเจนจากพืช สามารถทดแทนเอสโตรเจนได้ จึงช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบหรือผิวแห้ง อีกทั้งป้องกันภาวะกระดูกพรุนในวัยนี้ด้วย ทำให้พบอาการเหล่านี้น้อยในหญิงชาวเอเชีย ซึ่งบริโภคถั่วเหลืองเป็นประจำ
มีการตรวจปัสสาวะพบว่า หญิงญี่ปุ่นขับเอสโตรเจนออกทางปัสสาวะ มากกว่าหญิงชาวตะวันตก 100 – 1000 เท่า
มีการวิจัยในปี 1998 พบว่าหญิงวัยหมดประจำเดือนที่ได้ไอโซฟลาโวนเพิ่มวันละ 40 กรัม จากโปรตีนถั่วเหลือง เป็นเวลา 12 สัปดาห์ มีอาการร้อนวูบวาบลดลง 45%
 ไอโซฟลาโวน เป็นไฟโตเอสโตรเจนชนิดหนึ่ง ซึ่งยังมีหลายรูปแบบ เช่น daidzein genistein และ glycitein
ถั่วเหลือง เป็นแหล่งอาหารที่มีปริมาณของไอโซฟลาโวนอยู่มากกว่าอาหารอื่นๆ โดยเจนิสตินเป็นชนิดของ  ไอโซ ฟลาโวนที่พบในถั่วเหลือง
 เจนิสติน ต้านมะเร็งได้เหลือเชื่อ ! …1. สามารถเหนี่ยวนำให้เกิด apoptosis (ตายตามโปรแกรม) จึงเป็นสารทำลายเซลล์มะเร็ง…2. เจนิสติน เป็นตัวยับยั้งเอนไซม์ไทโรซีนไคเนส (Thyrosine kinase) จึงหยุดการแข็งตัวของเลือดส่วนเกิน ซึ่งเป็นสาเหตุของหัวใจวาย และการเติบโตของเซลล์มะเร็ง…3. เจนิสติน ขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ DNA topoisomerase II ซึ่งลดการสร้าง DNA ทำให้เซลล์หยุดแบ่งตัว ทำให้เซลล์มะเร็งหยุดเจริญเติบโต …4. เจนิสตินยับยั้งกระบวนการสร้างเส้นเลือดใหม่ (angiogenesis) อันสำคัญต่อการเจริญของเนื้องอก จึงป้องกันการก่อตัวของมะเร็งชนิดอยู่กับที่ เช่น มะเร็งเต้านม ต่อมลูกหมาก และมะเร็งปอด โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา พิจารณาให้เจนิสตินเป็นยารักษาโรคมะเร็ง…5. เจนิสตินยังมีบทบาทควบคุมมะเร็งที่ไวต่อฮอร์โมน เช่น มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก
พบว่าสตรีชาวเอเชียที่บริโภคถั่วเหลืองตั้งแต่วัยรุ่น มีอุบัติการณ์มะเร็งเต้านมน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ และแม้จะเป็นขึ้นมา เนื้องอกก็มักจะรุนแรงน้อยกว่า มีอัตรารอดชีวิตสูง
ชาวอังกฤษมีอัตราเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านม และต่อมลูกหมากสูงกว่าชาวญี่ปุ่น 4 เท่า
มะเร็งต่อมลูกหมากในประชากรชาวญี่ปุ่นเกิดขึ้นช้า และเติบโตช้ากว่าเมื่อเทียบกับชาวตะวันตก ปัจจัยหนึ่งก็คือ นิสัยบริโภคซึ่งนอกจากปลาแล้ว ก็คือถั่วเหลือง ตลอดรวมถึงถั่วชนิดอื่นๆ เช่น ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วดำ ฯ มากกว่าชาวอเมริกันทั่วไป
การศึกษาในสัตว์พบว่าเจนิสติน ซึ่งพบมากในถั่วเหลือง สามารถลดการเติบโตของเนื้องอกต่อมลูกหมากได้อย่างมีนัยสำคัญ ส่วนไบโอคานิน เอ (ไอโซฟลาโวนอีกชนิดหนึ่ง) นั้น พบว่าช่วยลดการหลั่งของ PSA ซึ่งถูกกระตุ้นให้หลั่งออกมาโดยฮอร์โมนเทสโตสเตอโรน
     อาหารชนิดไหนที่ควรจะแนะนำให้กับผู้ป่วยมะเร็ง
คำตอบคือ อาหารจากพืช น่าจะเป็นประเภทแรก เนื่องจากอุดมไปด้วยโปรตีนพืช สารต้านอนุมูลอิสระ ไฟโตเคมิคอล คาร์โบฮัยเดรทเชิงซ้อน วิตามินแร่ธาตุ และกากใย โดยควรลดกลุ่มคาร์โบฮัยเดรท น้ำตาลถั่วเหลืองจึงเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ และหากต้องการเนื้อสัตว์จริงๆ เนื้อปลาก็เป็นตัวเลือกของกลุ่ม
นอกจากป้องกันโรคมะเร็งแล้ว ไฟโตเอสโตรเจนยังช่วยบำรุงผิว ช่วยรักษาระดับความดันเลือด ระดับโคเลสเตอรอล ทำให้ LDL ซึ่งเป็นโคเลสเตอรอลเลว ลดจำนวนลง

Probiotic.....เพื่อนแสนดีที่อยู่ข้างกายคุณ



http://thaiprobiotics.org/content/image/hd_left.png
ปัจจัยที่มีผลต่อสมดุลของระบบทางเดินอาหาร
http://thaiprobiotics.org/content/image/hd_right.png
ปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อสมดุลของทางเดินอาหาร
คนส่วนใหญ่จะเชื่อว่า การรับประทานอาหารที่ดีก็จะทำให้มีสุขภาพดี” (You are what you eat)  แต่แท้จริงแล้วนั้น สุขภาพจะดีได้ ไม่ใช่เพียงเพราะแค่เรารับประทานอาหารดี ๆ เท่านั้น     แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น   ความสำคัญของอาหารที่เรารับประทานเข้าไปขึ้นอยู่กับระบบย่อยอาหารของเราว่าทำงานได้ดีเพียงใด  ซึ่งอาหารนั้นจะต้องถูกย่อยและร่างกายต้องสามารถดูดซึมสารอาหารที่ถูกย่อยนั้นไปใช้ประโยชน์ได้จริง ตลอดจนของเสียที่เหลือจากการดูดซึมไปใช้ก็จะถูกรวบรวมและถูกขับถ่ายออกไป ดังนั้น หากระบบทิ้งขยะภายในตัวเราไม่มีประสิทธิภาพ อุจจาระคั่งค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ สุขภาพของคนคนนั้นก็ไม่น่าจะดีขึ้นได้ ลำไส้ใหญ่ของคนเราเป็นตัวแทนของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายทั้งหมด ตำแหน่งต่าง ๆ ในลำไส้ใหญ่ก็จะแทนอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายของคนเรา หากเกิดความผิดปกติ มีอุจจาระคั่งค้างอยู่ตำแหน่งไหน อวัยวะซึ่งตรงกับตำแหน่งนั้นก็จะเกิดความปั่นป่วนและทำงานผิดปกติไปด้วย เช่น หากมีอะไรเกิดขึ้นที่กระพุ้งลำไส้ใหญ่ ก็จะกระทบกระเทือนถึงการทำงานต่อมใต้สมอง และทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดี หากมีอะไรเกิดขึ้นตรงตำแหน่งลำไส้ขวางส่วนต้น ก็จะเกิดความผิดปกติของหัวใจ เป็นต้น ด้วยเหตุผลนี้ ระบบทางเดินอาหารจึงได้เป็นยุทธศาสตร์สุขภาพที่สำคัญ เป็นส่วนเชื่อมโยงกับสุขภาพร่างกายส่วนอื่น ๆ
ปกติร่างกายของเรามีจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพอยู่แล้ว แต่ด้วยรูปแบบการดำเนินชีวิตทำให้มีปริมาณที่ไม่สมดุลหรือมีปริมาณลดลง ซึ่งปัจจัยที่ทำให้จุลินทรีย์หรือแบคทีเรียสุขภาพมีปริมาณลดลง ได้แก่ 
1.       การใช้ยาปฏิชีวนะ ยาบรรเทาปวดต่าง ๆ ซึ่งมีฤทธิ์ในการกำจัดแบคทีเรียทั้งชนิดดีและไม่ดีในระบบทางเดินอาหาร 
2.       ความเครียด ความวิตกกังวล ปัญหาสุขภาพ และอายุมากขึ้น 
3.       รูปแบบการดำรงชีวิต  เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ  การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์  การสูบบุหรี่  การรับประทานอาหารประเภทที่มีเส้นใยต่ำ รับประทานอาหารที่มีไขมัน น้ำตาลและโปรตีนสูง เป็นต้น
                ___________________________________________________________________________

Prebiotics benefit the immune system

February 18, 2012 by Jonathan Landsman   
Filed under 
Healthcare, Natural Healing, Nutrition
http://www.naturalhealth365.com/images/veggies.jpg(NaturalHealth365) Prebiotics play a vital role in developing a healthy immune system. Insoluble dietary fibers, also known as “roughage”, keep you regular and help support immune function. The role of prebiotics is immensely important in forming intestinal bacteria.
The indigestible part of all plant-based foods push its way through most of the digestive tract unchanged, acting as a kind of internal broom. When fiber arrives in the colon, bacteria convert it to energy and compounds known as ‘short chain fatty acids’.
By the way, if you suffer from colitis, an inflammatory gut condition, fiber may be the answer to your problems.
In addition, probiotics and prebiotics (which affect the balance of gut bacteria) reduce the symptoms of asthma and rheumatoid arthritis, as well as other inflammatory diseases.
New research links diet to a healthy gut
A study published in Nature highlighted breakthrough research by a Sydney-based team, which makes sense of known facts by describing a mechanism that links diet, gut bacteria and the immune system. The Garvan Institude of Medical Research, in collaboration with Co-operative Research Center for Asthma and Airways helped support the research efforts of Professor Charles Mackay and Ph.D. student, Kendle Maslowski. Their work proved without a doubt, a diet high in fruits, vegetables and grains under normal circumstances produce prebiotics – which help maintain our resistance to disease.
Science proves the value of diet for disease prevention
“Professor Mackay said, “The notion that diet might have profound effects on immune responses or inflammatory diseases has never been taken that seriously”. He goes on to say, “We believe that changes in diet, associated with western lifestyles, contribute to the increasing incidences of asthma, Type 1 diabetes and other autoimmune diseases. Now we have a new molecular mechanism that might explain how diet is affecting our immune systems.”
“We’re also now beginning to understand that from the moment you’re born, it’s incredibly important to be colonized by the right kinds of gut bacteria,” added Maslowski. “The kinds of foods you eat directly determine the levels of certain bacteria in your gut.”
“The role of nutrition and gut intestinal bacteria in immune responses is an exciting new topic in immunology, and recent findings including our own open up new possibilities to explore causes as well as new treatments for inflammatory diseases such as asthma”, said Professor Mackay.
Mom was always right
A new and exciting way to look at fruits and vegetables is to see them as the main factor in supplying you with prebiotics. These are the natural by product of grains, nuts, fruits, and vegetables. Getting beneficial bacteria to take up residence in your intestinal tract will keep you healthy and strong.
Conventional wisdom would have us believe that simply eating yogurt or taking a pill can add enough healthy bacteria – to our gut. But, we now know there are drawbacks to eating commercially produced dairy products and depending on synthetic supplements. They may or may not support the strain you need, and they are not self-supporting in the same way as naturally occurring prebiotics.
Prebiotics have been shown to increase the absorption of vitamins and minerals from the foods you consume. This strengthens your immune system – making it tougher to develop either allergies or disease. Prebiotics has been shown to reduce the growth of bad bacteria and helps the growth of good bacteria. While, probiotics can only be found in foods, which have been fermented or pills, prebiotics are available from natural plant sources.
A good source of Probiotics
In the modern medical world we destroy our live bacteria through the use of antibiotics and processed food. We have weakened our immune system, and have made it harder to fight disease. At the same time we consume a diet that do NOT support gut health.
We have a diet low on prebiotics, and now turn to taking probiotics from man made sources. There are good sources of probiotics such as tempeh, miso, kimchi, kefer, and sauerkraut. These are fermented foods rather than pills; as such they contain vitamins, minerals, and enzymes.
Eating vegetables, fruits and grains help you attain gut health and a strong immune system.
Health is a byproduct of healthy living. A lifestyle of processed foods (and synthetic drugs) is a prescription for low energy; a bloated stomach; heartburn; constipation and diarrhea. This is the most compelling reason to consume unprocessed whole foods.
About the author Blanche has been a student of natural healing modalities for the last 25 years. She had the privilege of working with some of the greatest minds in Natural Healing including Naturopaths, Scientist, and Energy Healers. Having seen people miraculously heal from all kinds of dis-ease through non-invasive methods, her passion now is to help people become aware of what it takes to be healthy.

                ___________________________________________________________________________

                หากจะเอ่ยว่าร่างกายของเรามีเชื้อจุลินทรีย์อาศัยอยู่ด้วยตลอดเวลา คนส่วนใหญ่ก็คงมองภาพเป็นพวกเชื้อที่เกาะตามผิวหนังร่างกายของเราแล้วก็พาลคิดว่าต้องหาสารทำความสะอาดต่างๆ ก็เป็นประเด็นทางการตลาดที่ทำให้บริษัทผู้ผลิตใช้หารายได้จากบรรดาคนที่ต้องการรักษาสุขอนามัยอย่างยิ่งยวด แต่อันที่จริงแล้วบรรดาระบบประสาทสัมผัสทั่วไปของเราที่จะเป็นช่องทางสำคัญของการรับเชื้อต่างๆ นั้นคือ ปาก ต่างหากล่ะ เพราะปากมีกิจกรรมการรับอาหารอย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง แล้วจะมีผู้ผลิตคนไหนที่จะกล้ารับประกันว่าอาหารของตัวเองปลอดเชื้อ (Sterile) ไม่มีเลยซักตัว คงเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงมากทีเดียวที่จะต้องทำอย่างนั้น
            คนทั่วไปที่ไม่ได้มีความรู้เฉพาะด้านนี้ก็คงคิดว่าเชื้อที่จะเข้าร่างกายนั้นจะหมายถึง เชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงธรรมชาติของชีวิตเรามีทั้งจุลินทรีย์ฝ่ายดีและจุลินทรีย์ฝ่ายร้าย เคยมีใครคิดจะส่งเสริมตรงนี้ไหม ก็ไม่ได้ยินข่าวหรือมีกระแสชัดเจนเท่าไหร่นัก ได้ยินแต่โฆษณาเชียร์ให้ซื้อผลิตภัณฑ์โยเกริ์ต แล้วนมโรงเรียนที่แจกให้เด็กน่าจะแชร์ปริมาณส่วนหนึ่งเป็นโยเกริ์ตบ้างก็คงจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของเด็กๆ มากขึ้นอีกเพราะไม่ได้แค่ให้คุณค่าทางโภชนาการ ป้องกันทุพโภชนาการ แต่อย่างน้อยยังช่วยให้เด็กๆ มีจุลินทรีย์ดีๆในระบบทางเดินอาหารไว้ต่อสู้กับจุลินทรีย์ร้ายซึ่งในวัยเด็กที่ภูมิต้านทานยังไม่กล้าแข็งก็มักจะมีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการรับเชื้อเข้าร่างกายได้ง่าย หยิบอาหารที่ตกพื้นมาทานบ้าง ไม่ล้างมือก่อนทานขนมบ้าง ฯลฯ
เมื่อหันกลับมาคิดถึงตัวเอง ก็จริงทีเดียวที่ไม่เคยให้ความสนใจประเด็นนี้มาก่อนสักเท่าไหร่ เลยเป็นประเด็นกลับมาคิดว่าอย่างน้อยเมื่อมีผลงานวิจัยมากมายออกมาให้คำวำกัดความว่ามันเป็นจุลินทรีย์ฝ่ายดี มันก็ต้องมีเหตุผลรองรับมากทีเดียวที่เราจะมานั่งยอมรับว่ามันคือส่วนหนึ่งของชีวิตเรา และต่อไปนี้เราจะทำอะไรที่มีผลกระทบต่อพวกมันเราก็ต้องคิดให้มากขึ้น เหมือนเราต้องดูแลผู้อาศัยที่ไม่ใช่แค่อาศัยไปวันๆ แต่ยังทำประโยชน์ให้เราด้วย
จากบทความข้างต้นประทับใจกับคำว่า  ระบบทางเดินอาหารเป็นยุทธศาสตร์สุขภาพที่สำคัญอ่านแล้วทำให้รู้สึกเห็นภาพว่าทางเดินอาหารเป็นปราการด่านสำคัญที่จะคัดกรองสารต่างๆ เข้าสู่ระบบหมุนเวียนและใช้ในการทำงานต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งถึงแม้ว่าสารพิษจะหลุดเข้าไปแล้วก็จะมีตับ ไต และอวัยวะอื่นๆอีกที่จะช่วยกำจัดสารพิษออก แล้วถ้ามันกำจัดออกทางอุจจาระได้แล้วมันก็ควรจะถูกขับออกจากร่างกายจึงจะถือว่าเป็นกระบวนการกำจัดสารพิษที่สมบูรณ์ นั่นสินะ ทำไมอุจจาระไม่ถูกขับออกง่ายเหมือนปัสสาวะ มันคงจะช่วยลดภาวะปัญหาให้กับชีวิตมนุษย์ไปได้เยอะเลยทีเดียว
สารพิษที่อยู่ในอุจจาระรอเวลากำจัดออกนอกร่างกาย หากเราปล่อยให้เชื้อแบคทีเรียร้ายได้มีโอกาสถอดสารคอนจูเกตออกได้สารพิษกลับคืนมานั่นย่อมเป็นการสูญเปล่าของการกำจัดสารพิษขั้นก่อนหน้า และนั่นเท่ากับว่าคนที่ไม่สามารถขับถ่ายได้เป็นประจำแล้วยังมีพฤติกรรมชอบทานอาหารที่มีสารพิษปน อาหารปิ้ง ย่าง ทอด เกรียมๆ ไหม้ๆ อาหารที่หมักใช้เกลือไนเตรท แหนม ใส้กรอก ชอบทานเนื้อแดง ชีวิตเร่งรีบทำงานนั่ง office ทั้งวันทานแต่ข้าวกล่อง frozen ทานผักน้อยแล้วยังชอบเขี่ยผักออก พวกนี้มันชีวิตคนในเมืองที่วันๆทำแต่งานชัดๆ ไม่มีเวลาจะมาสนใจดูแลอาหารการกิน ไม่สนใจการออกกำลังกายอีกต่างหาก พวกนี้ก็เท่ากับว่านับถอยหลังไปฟังผลการตรวจของหมอที่จะบอกว่าคุณเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มันช่างเป็นจุดจบของชีวิตที่เป็นสูตรสำเร็จอะไรเช่นนี้ หากเรารู้จักใครที่มีพฤติกรรมเสี่ยงแบบนี้เราคงต้องบอกเขาแล้วล่ะว่าเขาตกอยู่ในอันตรายเพราะเหมือนเราเห็นอนาคตข้างหน้าของเขาว่าเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งลำใส้ใหญ่อยู่แล้ว และบอกว่าเขามีผู้ช่วยที่มีชีวิตอยู่ในตัว อย่างน้อยก็ให้ทานโยเกริ์ต อาหารที่หาซื้อได้ง่ายทั่วไป เพราะมันจะช่วยยับยั้งการก่อตัวของแบคทีเรียร้ายได้และพยายามทานผักผลไม้ให้มากขึ้น
เมื่อเราเห็นประโยชน์ของโบรไบโอติกในร่างกายเราแล้ว เราก็ต้องมาคิดแผนการที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน ถ้าเราไม่สบายแล้วต้องทานยาฆ่าเชื้อ ก็ต้องไม่ลืมว่าเราได้ฆ่าสมาชิกในร่างกายเราให้ลดลงไปด้วยแล้ว เช่นนั้นก็ต้องตามด้วยสูตรการอัดโบรไบโอติกกลับไปเพื่อปรับสมดุล ถ้าหาอาหารหมักอื่นไม่ได้ ก็ง่ายๆ เลยซื้อโยเกริตมาทาน inoc มันเข้าไปใหม่ แล้วก็ทานผักผลไม้เข้าไปเป็นทั้งอาหารของเราและก็แบ่งกากใยให้แบคทีเรียใช้เป็นอาหารของมันด้วยที่เขาเรียกกันว่า พรีไบโอติก
ยิ่งมีการค้นพบข้อมูลใหม่ๆ ว่าการทานอาหารทำให้ภาวะโภชนาการดีแล้วมีผลต่อแบคทีเรียในร่างกาย มีผลต่อระบบการทำงานต่างๆ มีผลกับระบบภูมิคุ้มกัน ยิ่งทำให้เห็นความสำคัญของการรับประทานอาหารว่ามันไม่ใช่จะเป็นแค่ปัจจัย 4 กินเพื่อให้มีชีวิตรอดไปวันๆ เสียเมื่อไร ถ้าปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม ใช้ชีวิตไปวันๆ ทานอะไรเรื่อยเปื่อยแล้วแต่ใจแล้วแต่ความสะดวก นั่นมันหมายถึงคุณภาพชีวิตที่ไม่ได้บอกว่าเราจะมีชีวิตที่สุขภาพแข็งแรงดีพร้อมต่อการดำเนินชีวิตด้วยพลังกายที่สมบูรณ์ เราจึงต้องหันมาให้ความสำคัญกับการเลือกรับประทานอาหารให้มากขึ้น การทานอาหารมันเป็นแหล่งพลังของชีวิต ช่วยคงรักษาประสิทธิภาพในการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย
คงไม่มีใครอยากป่วย อยากทุกข์กายทุกข์ใจ ในเมื่ออาหารเป็นสิ่งที่ต้องกินเข้าไปอยู่แล้ว และถ้าเราหันมาให้ความสำคัญในการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดที่เราพอจะหาได้ให้กับตัวเรามันก็ยิ่งเป็นการลงทุนซื้ออาหารที่คุ้มค่ากับเงินที่สูญเปล่ามิใช่เหรอ ถ้าเราสุขภาพดี เราก็ไม่ป่วยหรือแม้เราเจ็บป่วยเล็กน้อยดูแลตัวเองได้หาอาหารมารับประทานในส่วนที่ช่วยฟื้นฟูการทำงานของร่างกาย มันก็น่าจะเป็นการประหยัดค่ารักษาพยาบาลด้วย ชีวิตเราอย่างไรเสียเราก็ต้องดูแลตัวเอง หากเรารู้จักสังเกตการดำเนินชีวิต การกินการอยู่มันก็น่าจะเป็นการใช้ชีวิตได้คุ้มค่าทีเดียว
อันที่จริงเราคงต้องยอมรับว่าการแพทย์บ้านเรายังไม่ได้ก้าวหน้ามากมายในระดับที่จะมาตั้งเป้าหมายในเรื่องการป้องกันให้ได้มากไปกว่าการแก้ไข ทุกวันนี้มีผู้ป่วยจำนวนมากตามโรงพยาบาล การผลิตบุคลากรทางการแพทย์ก็ยังไม่เพียงพอต่อปริมาณของผู้ป่วย แล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาดำเนินแนวทางตามโปรแกรมการป้องกัน มีแต่ตามรักษากันไปตามสภาวะที่ทำได้ แต่ถ้าจะมีการแพทย์ที่ตามอาการอย่างละเอียดก็เป็นการแพทย์ทางเลือกที่ราคาคงแพงแสนแพง แม้แพทย์จะมีความสามารถแต่หลักการโดยทั่วไปก็เป็นการวินิจฉัยตามอาการตามผลตรวจเท่าที่มี คงไม่ได้รู้ไปเสียทุกอย่างของชีวิตมนุษย์ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่มีคนที่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง ไปหาหมอกี่ที่ก็ไม่หายสักที พาลให้ชีวิตซึมเศร้า เราจะมานั่งรอให้คนอื่นมาช่วยในวันที่มันสายเกินไปก็ดูจะเป็นการปล่อยชีวิตตัวเองอย่างไม่ไยดีเกินไป คนอื่นเรายังห่วงใยดูแลได้ แล้วเราจะไม่ตั้งใจดูแลตัวเองเหรอ นี่แหละหนทางของการดำรงชีวิต.....ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาหลักสูตรพิษวิทยาอาหารและโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล