ใครๆ ต่างกล่าวขานถึงเทคโนโลยีชีวภาพจะมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ในศตวรรษที่
21 นี้ ประโยชน์ของมันถูกใช้ในหลายๆ วงการ ได้แก่
ทางการแพทย์ พลังงาน สิ่งแวดล้อม เกษตร อาหาร อาวุธ ฯลฯ ทุกวงการก็คงมุ่งหวังการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาเดิมๆที่ไม่อาจแก้ไขได้หรือมีการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ
แต่วงการที่กระทบกับชีวิตมนุษย์โดยตรงก็คงไม่พ้นเรื่องอาหารการกินซึ่งก็สืบเนื่องมาจากการใช้ในทางการเกษตรด้วย
ซึ่งก็มักมีการคิดค้นต่อยอดหลักการพันธุวิศวกรรมจนได้ผลิตภัณฑ์มากมายที่ตอบโจทย์ปัญหาทางการเกษตร
สร้างพันธุ์พืชที่ทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ แมลงศัตรูพืช ทนต่อสารเคมีกำจัดศัตรูพืช
เพิ่มผลผลิตจำนวนมาก สร้างคุณค่างทางโภชนาการ รักษาสภาพความสดหลังการเก็บเกี่ยว
ฯลฯ
เทคโนโลยีดังกล่าวพัฒนาไปอย่างรวดเร็วในวงการธุรกิจ
ซึ่งธุรกิจยังไงเสียก็คือธุรกิจวันยันค่ำ หาใช่องค์กรการกุศล
ธุรกิจที่จะยืนอยู่ได้ต้องมีวิสัยทัศน์คาดการณ์อนาคตได้ไกล
สามารถปรับตัวให้ทันกระแสผู้บริโภคและยิ่งถ้าเป็นผู้นำหรือสามารถกำหนดพฤติกรรมผู้บริโภคได้ก็จะทำให้ธุรกิจยั่งยืน
และเป้าหมายหลักของการประกอบธุรกิจก็คือผลกำไร
แน่นอนว่าเหล่าบริษัทที่ทำธุรกิจด้านเทคโนโลยีชีวภาพก็คิดค้นผลิตภัณฑ์ของตัวเองขึ้นมาดึงดูดลูกค้าและโฆษณาให้เกิดปัญหาหรือความจำเป็นที่ต้องซื้อสินค้าและเป็นปกติวิสัยว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้สามารถขายสินค้าได้
โลกนี้ช่างมีแต่เรื่องของธุรกิจแม้แต่กับรัฐบาล ไม่น่าแปลกเลยที่ประชาชนทั่วสหรัฐอเมริกาต่างเรียกร้องให้ติดฉลากสินค้าที่มีส่วนประกอบมาจากวัตถุดิบ
GMO แต่ทำไมการผลักดันกฎหมายนานกว่า 10 ปียังไม่ประสบผลสำเร็จจนถึงทุกวันนี้ ประเทศที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าก็ใช่จะมีแต่เรื่องดีๆ
ตรงกันข้ามกลับมองว่าประชาชนในสหรัฐอเมริกาเหมือนเป็นหนูทดลองที่ถูกให้อาหาร GMO
แทบทุกวัน แล้วในระยะยาวผลที่มีต่อสุขภาพจะเป็นอย่างไร
จะมีอุบัติการณ์โรคใดเพิ่มสูงขึ้นหรือมีโรคอุบัติใหม่บ้างหรือไม่
เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมกรรมผลิตคอร์นไซรัปที่เจริญดีและเป็นที่นิยมบริโภคในร้านแมคโดนัลด์
รวมถึงการนิยมใช้ไขมันทรานซ์ในผลิตภัณฑ์ในยุคก่อนหน้านี้ซึ่งนั่นได้ทำให้ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศมีปัญหาโรคอ้วนและความเสี่ยงต่อโรคหัวใจโดยมีสภาพการณ์ที่เห็นได้ชัดเจนเมื่อเทียบกับผู้คนในประเทศอื่นๆ
หลังจากได้ดูวีดีโอ
Monsanto GMO มีความสงสัยการชี้บ่งข้อความ “Biodegradable”
ที่ระบุไว้ข้างขวดของผลิตภัณฑ์ยาฆ่าหญ้า Roundup ว่าจะเชื่อถือได้ตามนั้นจริงหรือไม่http://articles.mercola.com/sites/articles/archive/2012/01/15/dr-don-huber-interview-part-2.aspx
เว็บไซต์ดังกล่าวได้อธิบายว่าในปี 2009 ประเด็นดังกล่าวได้ถูกศาลของประเทศฝรั่งเศสตัดสินว่าเป็นโฆษณาที่หลอกลวง
และโดยข้อมูลจาก School of Public Health at the University of California,
Berkeley http://www.organicconsumers.org/monad.html
ต้องใช้เวลานาน 7 ปีกว่าจะรวบรวมข้อมูลที่มีน้ำหนักเพียงพอจนสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับผลิตภัณฑ์ของมอนซานโต้
โดยข้อมูลดังกล่าวได้สรุปว่าสารออกฤทธิ์ glyphosate ในผลิตภัณฑ์ที่รวมถึง
roundup ทำให้เกิดการเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากการใช้ยาฆ่าแมลงของเกษตรกรสูงเป็นอันดับที่
3 โดยมอนซานโต้ยอมรับที่จะเปลี่ยนแปลงการโฆษณาดังกล่าวในนิวยอร์ค
และยอมจ่ายเงิน 50,000 เหรียญเพียงเพื่อไม่ต้องการให้เกิดคดีความ
แต่ยังยืนยันว่าโฆษณาของตนถูกต้องและไม่ได้ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและไม่ได้ทำผิดกฎหมายท้องถิ่น
รัฐหรือสหพันธรัฐแต่อย่างใด นั่นหมายความว่าบริษัทไม่ได้ดำเนินการดังกล่าวในรัฐอื่นๆ
ใช่หรือไม่
บริษัทเร่งงานวิจัยเพื่อปล่อยสินค้าออกจำหน่ายโดยไม่มีการวิเคราะห์ผลกระทบต่างๆ
ให้เพียงพอแม้แต่ผลกระทบต่อตัวผลิตภัณฑ์เอง ดังเช่น กรณี roundup ready
soybean http://articles.mercola.com/sites/articles/archive/2012/01/15/dr-don-huber-interview-part-2.aspx
โดยมีการพบว่าการใช้สารออกฤทธิ์ glyphosate
ทำลายเชื้อแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในดินซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคเพิ่มจำนวนขึ้นและมีการพัฒนาความรุนแรงของการก่อโรคด้วย
โดยมีการพบเชื้อรา fusaria ที่ทำให้เกิดโรค “Sudden
death syndrome” มากถึง 500% ที่ส่วนรากของต้นถั่วเหลือง
บริษัทมีอิทธิพลต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐชนิดที่ว่าไม่สนใจที่จะดำเนินการใดๆ
เพื่อทำให้ประชาชนได้ทราบข้อมูลที่แท้จริงที่เป็นแนวโน้มการก่ออันตรายต่อผู้บริโภคโดยสิ้นเชิงทั้งๆ
ที่มีข้อมูล ผลการศึกษาและอุบัติการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น
โดยกลางปีที่แล้วมอนซานโต้ได้เดินหน้าออกผลิตภัณฑ์ใหม่
เป็นข้าวโพดหวานที่มีการใส่ทั้งยีนจาก BT-toxin และยีน
Roundup ready โดยการอนุมัติของ EPA (Environmental
Protection Agency) ทั้งๆ ที่ทราบข้อมูลต่างๆ มากมายว่า Bt-toxin
แสดงพิษร้ายทัดเทียมกับ cholera toxin จากผลการทดสอบในหนู
mice
แม้กระทั่งทำปฏิกิริยากับอาหารอื่นซึ่งไม่เคยก่ออันตรายมาก่อน
อุบัติการณ์ในคนก็พบคนงานฟาร์มมีการตอบสนองต่อ Bt-toxin ทางระบบภูมิคุ้มกัน
และผู้คนกว่า 500 คนในวอชิงตันและแวนคูเวอร์แสดงอาการแพ้และมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่เมื่อสัมผัสสารโดยการสเปรย์เมื่อใช้มันฆ่าผีเสื้อ
ทั้งๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ของ EPA ก็ออกมายอมรับว่าสารดังกล่าวสามารถแสดงศักยภาพเป็น
antigen และสารก่อภูมิแพ้ได้แต่ก็ทำเป็นมองข้ามข้อมูลดังกล่าวไป
แม้แต่ในคนที่รับประทานอาหารปกติชาวแคนาดาก็ถูกตรวจพบ
Bt-toxin ในเลือดทั้งผู้ใหญ่และเด็กเกิดใหม่
จึงมีข้อสงสัยว่าจะปนเปื้อนมากับอาหารที่ใช้เลี้ยงปศุสัตว์และแน่นอนว่าสารดังกล่าวก็สามารถถูกถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกโดยผ่านทางรกซึ่งก็มีรวบรวมหลักฐานอย่างต่อเนื่องตลอดมาตั้งแต่มีการเริ่มปลูกพืชที่มียีนของ
Bt-toxin ตั้งแต่ปี 1996
มีการศึกษาการตรวจสุขภาพในคน พบว่าคนที่แม้จะเคยทานอาหาร GMO แม้เพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่ยีนจาก roundup ready soybean ที่ได้มาจากยีนของแบคทีเรียที่มอนซานโต้พบที่กองขยะสารเคมีซึ่งมีความทนทานต่อ
roundup นั้น สามารถถูกถ่ายทอดไปยัง DNA ของแบคทีเรียในทางเดินอาหารของคนนั้นได้
ซึ่งก็จะยังคงอยู่ต่อไปแม้จะไม่ได้ทานอาหาร GMO แล้วก็ตาม
แบคทีเรียดังกล่าวนี้ถูกเรียกว่า “roundup ready gut bacteria” เป็นการเรียกชื่อเหมือนประชดประชันแต่ก็ถูกต้องสมเหตุสมผลดี
และหากมันเป็นสารแปลกปลอม
สารก่อภูมิแพ้นั่นก็เท่ากับว่าเรามีการผลิตสารดังกล่าวขึ้นในตัวตลอดเวลาก็จะทำให้เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
มีการตั้งรับหาหลักฐานว่าหาก
Bt gene อยู่ในแบคทีเรียในทางเดินอาหารของผู้คนแถบทวีปอเมริกาเหนือ
คงจะมีอุบัติการณ์ การเจ็บป่วยระบบกระเพาะอาหาร
โรคแพ้ภูมิตัวเอง แพ้อาหาร
ความผิดปกติในการเรียนรู้ของเด็กเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นับจากพืชที่มียีน Bt เริ่มจำหน่ายในปี 1996 มันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานกว่า
16 ปีแต่ก็คงยังไม่มีน้ำหนักพอที่จะไปงัดข้อกับมอนซานโต้ได้
ก็คงต้องเก็บข้อมูลไปอีกนานมากทีเดียว
มุมมองต่อการใช้ชีวิตอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาดูจะไม่มีทางเลือกในการบริโภคอาหารเหมือนถูกบังคับให้ทานพืชและสัตว์
GMO มันรู้สึกเหมือนเป็นการสะสมสารพิษในร่างกายซึ่งน่าจะแย่กว่าสารพิษที่มีในอาหารต่างๆ
อย่างอื่นซึ่งเราก็บริโภคได้บ้างเพราะประเทศไทยเรามีอาหารหลากหลายให้บริโภค
เรื่องราวของ GMO ในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีภาพลักษณ์เป็นประเทศแห่งประชาธิปไตยและความเท่าเทียมทางสิทธิและเสรีภาพ
แท้ที่จริงนั้นกลับยากลำบากมากในการต่อสู้เพื่อให้ได้สิทธิอันชอบธรรมนั้นและช่างไม่น่าภูมิใจเลยกลับสิทธิการได้ทานอาหาร
GMO ถ้วนหน้าถึงกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้รู้สึกโชคดีที่ประเทศไทยยังอยู่ภายใต้องค์กรที่ดูแลสุขภาพอนามัยของประชากรในโลกอย่าง
FAO/WHO แต่กระนั้นก็ไม่สามารถไว้วางใจได้เลยที่จะไม่ติดตามสถานการณ์
เพราะอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอบนโลกใบนี้เพราะความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน