วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

มหันตภัยพืชอาหาร GMO



            ใครๆ ต่างกล่าวขานถึงเทคโนโลยีชีวภาพจะมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 นี้ ประโยชน์ของมันถูกใช้ในหลายๆ วงการ ได้แก่ ทางการแพทย์ พลังงาน สิ่งแวดล้อม เกษตร อาหาร อาวุธ ฯลฯ ทุกวงการก็คงมุ่งหวังการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาเดิมๆที่ไม่อาจแก้ไขได้หรือมีการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ แต่วงการที่กระทบกับชีวิตมนุษย์โดยตรงก็คงไม่พ้นเรื่องอาหารการกินซึ่งก็สืบเนื่องมาจากการใช้ในทางการเกษตรด้วย ซึ่งก็มักมีการคิดค้นต่อยอดหลักการพันธุวิศวกรรมจนได้ผลิตภัณฑ์มากมายที่ตอบโจทย์ปัญหาทางการเกษตร สร้างพันธุ์พืชที่ทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ แมลงศัตรูพืช ทนต่อสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เพิ่มผลผลิตจำนวนมาก สร้างคุณค่างทางโภชนาการ รักษาสภาพความสดหลังการเก็บเกี่ยว ฯลฯ
            เทคโนโลยีดังกล่าวพัฒนาไปอย่างรวดเร็วในวงการธุรกิจ ซึ่งธุรกิจยังไงเสียก็คือธุรกิจวันยันค่ำ หาใช่องค์กรการกุศล ธุรกิจที่จะยืนอยู่ได้ต้องมีวิสัยทัศน์คาดการณ์อนาคตได้ไกล สามารถปรับตัวให้ทันกระแสผู้บริโภคและยิ่งถ้าเป็นผู้นำหรือสามารถกำหนดพฤติกรรมผู้บริโภคได้ก็จะทำให้ธุรกิจยั่งยืน และเป้าหมายหลักของการประกอบธุรกิจก็คือผลกำไร แน่นอนว่าเหล่าบริษัทที่ทำธุรกิจด้านเทคโนโลยีชีวภาพก็คิดค้นผลิตภัณฑ์ของตัวเองขึ้นมาดึงดูดลูกค้าและโฆษณาให้เกิดปัญหาหรือความจำเป็นที่ต้องซื้อสินค้าและเป็นปกติวิสัยว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้สามารถขายสินค้าได้ โลกนี้ช่างมีแต่เรื่องของธุรกิจแม้แต่กับรัฐบาล ไม่น่าแปลกเลยที่ประชาชนทั่วสหรัฐอเมริกาต่างเรียกร้องให้ติดฉลากสินค้าที่มีส่วนประกอบมาจากวัตถุดิบ GMO แต่ทำไมการผลักดันกฎหมายนานกว่า 10 ปียังไม่ประสบผลสำเร็จจนถึงทุกวันนี้ ประเทศที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าก็ใช่จะมีแต่เรื่องดีๆ ตรงกันข้ามกลับมองว่าประชาชนในสหรัฐอเมริกาเหมือนเป็นหนูทดลองที่ถูกให้อาหาร GMO แทบทุกวัน แล้วในระยะยาวผลที่มีต่อสุขภาพจะเป็นอย่างไร จะมีอุบัติการณ์โรคใดเพิ่มสูงขึ้นหรือมีโรคอุบัติใหม่บ้างหรือไม่ เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมกรรมผลิตคอร์นไซรัปที่เจริญดีและเป็นที่นิยมบริโภคในร้านแมคโดนัลด์ รวมถึงการนิยมใช้ไขมันทรานซ์ในผลิตภัณฑ์ในยุคก่อนหน้านี้ซึ่งนั่นได้ทำให้ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศมีปัญหาโรคอ้วนและความเสี่ยงต่อโรคหัวใจโดยมีสภาพการณ์ที่เห็นได้ชัดเจนเมื่อเทียบกับผู้คนในประเทศอื่นๆ
            หลังจากได้ดูวีดีโอ Monsanto GMO มีความสงสัยการชี้บ่งข้อความ “Biodegradable” ที่ระบุไว้ข้างขวดของผลิตภัณฑ์ยาฆ่าหญ้า Roundup ว่าจะเชื่อถือได้ตามนั้นจริงหรือไม่http://articles.mercola.com/sites/articles/archive/2012/01/15/dr-don-huber-interview-part-2.aspx
เว็บไซต์ดังกล่าวได้อธิบายว่าในปี 2009 ประเด็นดังกล่าวได้ถูกศาลของประเทศฝรั่งเศสตัดสินว่าเป็นโฆษณาที่หลอกลวง และโดยข้อมูลจาก School of Public Health at the University of California, Berkeley http://www.organicconsumers.org/monad.html ต้องใช้เวลานาน 7 ปีกว่าจะรวบรวมข้อมูลที่มีน้ำหนักเพียงพอจนสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับผลิตภัณฑ์ของมอนซานโต้ โดยข้อมูลดังกล่าวได้สรุปว่าสารออกฤทธิ์ glyphosate ในผลิตภัณฑ์ที่รวมถึง roundup ทำให้เกิดการเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากการใช้ยาฆ่าแมลงของเกษตรกรสูงเป็นอันดับที่ 3 โดยมอนซานโต้ยอมรับที่จะเปลี่ยนแปลงการโฆษณาดังกล่าวในนิวยอร์ค และยอมจ่ายเงิน 50,000 เหรียญเพียงเพื่อไม่ต้องการให้เกิดคดีความ แต่ยังยืนยันว่าโฆษณาของตนถูกต้องและไม่ได้ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและไม่ได้ทำผิดกฎหมายท้องถิ่น รัฐหรือสหพันธรัฐแต่อย่างใด นั่นหมายความว่าบริษัทไม่ได้ดำเนินการดังกล่าวในรัฐอื่นๆ ใช่หรือไม่
            บริษัทเร่งงานวิจัยเพื่อปล่อยสินค้าออกจำหน่ายโดยไม่มีการวิเคราะห์ผลกระทบต่างๆ ให้เพียงพอแม้แต่ผลกระทบต่อตัวผลิตภัณฑ์เอง ดังเช่น กรณี roundup ready soybean http://articles.mercola.com/sites/articles/archive/2012/01/15/dr-don-huber-interview-part-2.aspx
โดยมีการพบว่าการใช้สารออกฤทธิ์ glyphosate ทำลายเชื้อแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในดินซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคเพิ่มจำนวนขึ้นและมีการพัฒนาความรุนแรงของการก่อโรคด้วย โดยมีการพบเชื้อรา fusaria ที่ทำให้เกิดโรค “Sudden death syndrome” มากถึง 500% ที่ส่วนรากของต้นถั่วเหลือง
            บริษัทมีอิทธิพลต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐชนิดที่ว่าไม่สนใจที่จะดำเนินการใดๆ เพื่อทำให้ประชาชนได้ทราบข้อมูลที่แท้จริงที่เป็นแนวโน้มการก่ออันตรายต่อผู้บริโภคโดยสิ้นเชิงทั้งๆ ที่มีข้อมูล ผลการศึกษาและอุบัติการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น โดยกลางปีที่แล้วมอนซานโต้ได้เดินหน้าออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็นข้าวโพดหวานที่มีการใส่ทั้งยีนจาก BT-toxin และยีน Roundup ready โดยการอนุมัติของ EPA (Environmental Protection Agency) ทั้งๆ ที่ทราบข้อมูลต่างๆ มากมายว่า Bt-toxin แสดงพิษร้ายทัดเทียมกับ cholera toxin จากผลการทดสอบในหนู mice แม้กระทั่งทำปฏิกิริยากับอาหารอื่นซึ่งไม่เคยก่ออันตรายมาก่อน อุบัติการณ์ในคนก็พบคนงานฟาร์มมีการตอบสนองต่อ Bt-toxin ทางระบบภูมิคุ้มกัน และผู้คนกว่า 500 คนในวอชิงตันและแวนคูเวอร์แสดงอาการแพ้และมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่เมื่อสัมผัสสารโดยการสเปรย์เมื่อใช้มันฆ่าผีเสื้อ ทั้งๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ของ EPA ก็ออกมายอมรับว่าสารดังกล่าวสามารถแสดงศักยภาพเป็น antigen และสารก่อภูมิแพ้ได้แต่ก็ทำเป็นมองข้ามข้อมูลดังกล่าวไป
            แม้แต่ในคนที่รับประทานอาหารปกติชาวแคนาดาก็ถูกตรวจพบ Bt-toxin ในเลือดทั้งผู้ใหญ่และเด็กเกิดใหม่ จึงมีข้อสงสัยว่าจะปนเปื้อนมากับอาหารที่ใช้เลี้ยงปศุสัตว์และแน่นอนว่าสารดังกล่าวก็สามารถถูกถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกโดยผ่านทางรกซึ่งก็มีรวบรวมหลักฐานอย่างต่อเนื่องตลอดมาตั้งแต่มีการเริ่มปลูกพืชที่มียีนของ Bt-toxin ตั้งแต่ปี 1996
            มีการศึกษาการตรวจสุขภาพในคน พบว่าคนที่แม้จะเคยทานอาหาร GMO แม้เพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่ยีนจาก roundup ready soybean ที่ได้มาจากยีนของแบคทีเรียที่มอนซานโต้พบที่กองขยะสารเคมีซึ่งมีความทนทานต่อ roundup นั้น สามารถถูกถ่ายทอดไปยัง DNA ของแบคทีเรียในทางเดินอาหารของคนนั้นได้ ซึ่งก็จะยังคงอยู่ต่อไปแม้จะไม่ได้ทานอาหาร GMO แล้วก็ตาม แบคทีเรียดังกล่าวนี้ถูกเรียกว่า “roundup ready gut bacteria” เป็นการเรียกชื่อเหมือนประชดประชันแต่ก็ถูกต้องสมเหตุสมผลดี และหากมันเป็นสารแปลกปลอม สารก่อภูมิแพ้นั่นก็เท่ากับว่าเรามีการผลิตสารดังกล่าวขึ้นในตัวตลอดเวลาก็จะทำให้เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
            มีการตั้งรับหาหลักฐานว่าหาก Bt gene อยู่ในแบคทีเรียในทางเดินอาหารของผู้คนแถบทวีปอเมริกาเหนือ คงจะมีอุบัติการณ์ การเจ็บป่วยระบบกระเพาะอาหาร  โรคแพ้ภูมิตัวเอง แพ้อาหาร ความผิดปกติในการเรียนรู้ของเด็กเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นับจากพืชที่มียีน Bt เริ่มจำหน่ายในปี 1996 มันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานกว่า 16 ปีแต่ก็คงยังไม่มีน้ำหนักพอที่จะไปงัดข้อกับมอนซานโต้ได้ ก็คงต้องเก็บข้อมูลไปอีกนานมากทีเดียว
            มุมมองต่อการใช้ชีวิตอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาดูจะไม่มีทางเลือกในการบริโภคอาหารเหมือนถูกบังคับให้ทานพืชและสัตว์ GMO มันรู้สึกเหมือนเป็นการสะสมสารพิษในร่างกายซึ่งน่าจะแย่กว่าสารพิษที่มีในอาหารต่างๆ อย่างอื่นซึ่งเราก็บริโภคได้บ้างเพราะประเทศไทยเรามีอาหารหลากหลายให้บริโภค เรื่องราวของ GMO ในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีภาพลักษณ์เป็นประเทศแห่งประชาธิปไตยและความเท่าเทียมทางสิทธิและเสรีภาพ แท้ที่จริงนั้นกลับยากลำบากมากในการต่อสู้เพื่อให้ได้สิทธิอันชอบธรรมนั้นและช่างไม่น่าภูมิใจเลยกลับสิทธิการได้ทานอาหาร GMO ถ้วนหน้าถึงกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้รู้สึกโชคดีที่ประเทศไทยยังอยู่ภายใต้องค์กรที่ดูแลสุขภาพอนามัยของประชากรในโลกอย่าง FAO/WHO แต่กระนั้นก็ไม่สามารถไว้วางใจได้เลยที่จะไม่ติดตามสถานการณ์ เพราะอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอบนโลกใบนี้เพราะความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน

อาหาร GMO กับความเสี่ยงในชีวิตมนุษย์


ใครๆ ต่างกล่าวขานถึงเทคโนโลยีชีวภาพจะมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 นี้ ประโยชน์ของมันถูกใช้ในหลายๆ วงการ ได้แก่ ทางการแพทย์ พลังงาน สิ่งแวดล้อม เกษตร อาหาร อาวุธ ฯลฯ ทุกวงการก็คงมุ่งหวังการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาเดิมๆที่ไม่อาจแก้ไขได้หรือมีการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ แต่วงการที่กระทบกับชีวิตมนุษย์โดยตรงก็คงไม่พ้นเรื่องอาหารการกินซึ่งก็สืบเนื่องมาจากการใช้ในทางการเกษตรด้วย ซึ่งก็มักมีการคิดค้นต่อยอดหลักการพันธุวิศวกรรมจนได้ผลิตภัณฑ์มากมายที่ตอบโจทย์ปัญหาทางการเกษตร สร้างพันธุ์พืชที่ทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ แมลงศัตรูพืช ทนต่อสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เพิ่มผลผลิตจำนวนมาก สร้างคุณค่างทางโภชนาการ รักษาสภาพความสดหลังการเก็บเกี่ยว ฯลฯ
            เทคโนโลยีดังกล่าวพัฒนาไปอย่างรวดเร็วในวงการธุรกิจ ซึ่งธุรกิจยังไงเสียก็คือธุรกิจวันยันค่ำ หาใช่องค์กรการกุศล ธุรกิจที่จะยืนอยู่ได้ต้องมีวิสัยทัศน์คาดการณ์อนาคตได้ไกล สามารถปรับตัวให้ทันกระแสผู้บริโภคและยิ่งถ้าเป็นผู้นำหรือสามารถกำหนดพฤติกรรมผู้บริโภคได้ก็จะทำให้ธุรกิจยั่งยืน และเป้าหมายหลักของการประกอบธุรกิจก็คือผลกำไร แน่นอนว่าเหล่าบริษัทที่ทำธุรกิจด้านเทคโนโลยีชีวภาพก็คิดค้นผลิตภัณฑ์ของตัวเองขึ้นมาดึงดูดลูกค้าและโฆษณาให้เกิดปัญหาหรือความจำเป็นที่ต้องซื้อสินค้าและเป็นปกติวิสัยว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้สามารถขายสินค้าได้ โลกนี้ช่างมีแต่เรื่องของธุรกิจแม้แต่กับรัฐบาล ไม่น่าแปลกเลยที่ประชาชนทั่วสหรัฐอเมริกาต่างเรียกร้องให้ติดฉลากสินค้าที่มีส่วนประกอบมาจากวัตถุดิบ GMO แต่ทำไมการผลักดันกฎหมายนานกว่า 10 ปียังไม่ประสบผลสำเร็จจนถึงทุกวันนี้ ประเทศที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าก็ใช่จะมีแต่เรื่องดีๆ ตรงกันข้ามกลับมองว่าประชาชนในสหรัฐอเมริกาเหมือนเป็นหนูทดลองที่ถูกให้อาหาร GMO แทบทุกวัน แล้วในระยะยาวผลที่มีต่อสุขภาพจะเป็นอย่างไร จะมีอุบัติการณ์โรคใดเพิ่มสูงขึ้นหรือมีโรคอุบัติใหม่บ้างหรือไม่ เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมกรรมผลิตคอร์นไซรัปที่เจริญดีและเป็นที่นิยมบริโภคในร้านแมคโดนัลด์ รวมถึงการนิยมใช้ไขมันทรานซ์ในผลิตภัณฑ์ในยุคก่อนหน้านี้ซึ่งนั่นได้ทำให้ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศมีปัญหาโรคอ้วนและความเสี่ยงต่อโรคหัวใจโดยมีสภาพการณ์ที่เห็นได้ชัดเจนเมื่อเทียบกับผู้คนในประเทศอื่นๆ
            หลังจากได้ดูวีดีโอ Monsanto GMO มีความสงสัยการชี้บ่งข้อความ “Biodegradable” ที่ระบุไว้ข้างขวดของผลิตภัณฑ์ยาฆ่าหญ้า Roundup ว่าจะเชื่อถือได้ตามนั้นจริงหรือไม่http://articles.mercola.com/sites/articles/archive/2012/01/15/dr-don-huber-interview-part-2.aspx
เว็บไซต์ดังกล่าวได้อธิบายว่าในปี 2009 ประเด็นดังกล่าวได้ถูกศาลของประเทศฝรั่งเศสตัดสินว่าเป็นโฆษณาที่หลอกลวง และโดยข้อมูลจาก School of Public Health at the University of California, Berkeley http://www.organicconsumers.org/monad.html ต้องใช้เวลานาน 7 ปีกว่าจะรวบรวมข้อมูลที่มีน้ำหนักเพียงพอจนสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับผลิตภัณฑ์ของมอนซานโต้ โดยข้อมูลดังกล่าวได้สรุปว่าสารออกฤทธิ์ glyphosate ในผลิตภัณฑ์ที่รวมถึง roundup ทำให้เกิดการเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากการใช้ยาฆ่าแมลงของเกษตรกรสูงเป็นอันดับที่ 3 โดยมอนซานโต้ยอมรับที่จะเปลี่ยนแปลงการโฆษณาดังกล่าวในนิวยอร์ค และยอมจ่ายเงิน 50,000 เหรียญเพียงเพื่อไม่ต้องการให้เกิดคดีความ แต่ยังยืนยันว่าโฆษณาของตนถูกต้องและไม่ได้ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและไม่ได้ทำผิดกฎหมายท้องถิ่น รัฐหรือสหพันธรัฐแต่อย่างใด นั่นหมายความว่าบริษัทไม่ได้ดำเนินการดังกล่าวในรัฐอื่นๆ ใช่หรือไม่
            บริษัทเร่งงานวิจัยเพื่อปล่อยสินค้าออกจำหน่ายโดยไม่มีการวิเคราะห์ผลกระทบต่างๆ ให้เพียงพอแม้แต่ผลกระทบต่อตัวผลิตภัณฑ์เอง ดังเช่น กรณี roundup ready soybean http://articles.mercola.com/sites/articles/archive/2012/01/15/dr-don-huber-interview-part-2.aspx
โดยมีการพบว่าการใช้สารออกฤทธิ์ glyphosate ทำลายเชื้อแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในดินซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคเพิ่มจำนวนขึ้นและมีการพัฒนาความรุนแรงของการก่อโรคด้วย โดยมีการพบเชื้อรา fusaria ที่ทำให้เกิดโรค “Sudden death syndrome” มากถึง 500% ที่ส่วนรากของต้นถั่วเหลือง
            บริษัทมีอิทธิพลต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐชนิดที่ว่าไม่สนใจที่จะดำเนินการใดๆ เพื่อทำให้ประชาชนได้ทราบข้อมูลที่แท้จริงที่เป็นแนวโน้มการก่ออันตรายต่อผู้บริโภคโดยสิ้นเชิงทั้งๆ ที่มีข้อมูล ผลการศึกษาและอุบัติการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น โดยกลางปีที่แล้วมอนซานโต้ได้เดินหน้าออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็นข้าวโพดหวานที่มีการใส่ทั้งยีนจาก BT-toxin และยีน Roundup ready โดยการอนุมัติของ EPA (Environmental Protection Agency) ทั้งๆ ที่ทราบข้อมูลต่างๆ มากมายว่า Bt-toxin แสดงพิษร้ายทัดเทียมกับ cholera toxin จากผลการทดสอบในหนู mice แม้กระทั่งทำปฏิกิริยากับอาหารอื่นซึ่งไม่เคยก่ออันตรายมาก่อน อุบัติการณ์ในคนก็พบคนงานฟาร์มมีการตอบสนองต่อ Bt-toxin ทางระบบภูมิคุ้มกัน และผู้คนกว่า 500 คนในวอชิงตันและแวนคูเวอร์แสดงอาการแพ้และมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่เมื่อสัมผัสสารโดยการสเปรย์เมื่อใช้มันฆ่าผีเสื้อ ทั้งๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ของ EPA ก็ออกมายอมรับว่าสารดังกล่าวสามารถแสดงศักยภาพเป็น antigen และสารก่อภูมิแพ้ได้แต่ก็ทำเป็นมองข้ามข้อมูลดังกล่าวไป
            แม้แต่ในคนที่รับประทานอาหารปกติชาวแคนาดาก็ถูกตรวจพบ Bt-toxin ในเลือดทั้งผู้ใหญ่และเด็กเกิดใหม่ จึงมีข้อสงสัยว่าจะปนเปื้อนมากับอาหารที่ใช้เลี้ยงปศุสัตว์และแน่นอนว่าสารดังกล่าวก็สามารถถูกถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกโดยผ่านทางรกซึ่งก็มีรวบรวมหลักฐานอย่างต่อเนื่องตลอดมาตั้งแต่มีการเริ่มปลูกพืชที่มียีนของ Bt-toxin ตั้งแต่ปี 1996
            มีการศึกษาการตรวจสุขภาพในคน พบว่าคนที่แม้จะเคยทานอาหาร GMO แม้เพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่ยีนจาก roundup ready soybean ที่ได้มาจากยีนของแบคทีเรียที่มอนซานโต้พบที่กองขยะสารเคมีซึ่งมีความทนทานต่อ roundup นั้น สามารถถูกถ่ายทอดไปยัง DNA ของแบคทีเรียในทางเดินอาหารของคนนั้นได้ ซึ่งก็จะยังคงอยู่ต่อไปแม้จะไม่ได้ทานอาหาร GMO แล้วก็ตาม แบคทีเรียดังกล่าวนี้ถูกเรียกว่า “roundup ready gut bacteria” เป็นการเรียกชื่อเหมือนประชดประชันแต่ก็ถูกต้องสมเหตุสมผลดี และหากมันเป็นสารแปลกปลอม สารก่อภูมิแพ้นั่นก็เท่ากับว่าเรามีการผลิตสารดังกล่าวขึ้นในตัวตลอดเวลาก็จะทำให้เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
            มีการตั้งรับหาหลักฐานว่าหาก Bt gene อยู่ในแบคทีเรียในทางเดินอาหารของผู้คนแถบทวีปอเมริกาเหนือ คงจะมีอุบัติการณ์ การเจ็บป่วยระบบกระเพาะอาหาร  โรคแพ้ภูมิตัวเอง แพ้อาหาร ความผิดปกติในการเรียนรู้ของเด็กเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นับจากพืชที่มียีน Bt เริ่มจำหน่ายในปี 1996 มันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานกว่า 16 ปีแต่ก็คงยังไม่มีน้ำหนักพอที่จะไปงัดข้อกับมอนซานโต้ได้ ก็คงต้องเก็บข้อมูลไปอีกนานมากทีเดียว
            มุมมองต่อการใช้ชีวิตอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาดูจะไม่มีทางเลือกในการบริโภคอาหารเหมือนถูกบังคับให้ทานพืชและสัตว์ GMO มันรู้สึกเหมือนเป็นการสะสมสารพิษในร่างกายซึ่งน่าจะแย่กว่าสารพิษที่มีในอาหารต่างๆ อย่างอื่นซึ่งเราก็บริโภคได้บ้างเพราะประเทศไทยเรามีอาหารหลากหลายให้บริโภค เรื่องราวของ GMO ในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีภาพลักษณ์เป็นประเทศแห่งประชาธิปไตยและความเท่าเทียมทางสิทธิและเสรีภาพ แท้ที่จริงนั้นกลับยากลำบากมากในการต่อสู้เพื่อให้ได้สิทธิอันชอบธรรมนั้นและช่างไม่น่าภูมิใจเลยกลับสิทธิการได้ทานอาหาร GMO ถ้วนหน้าถึงกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้รู้สึกโชคดีที่ประเทศไทยยังอยู่ภายใต้องค์กรที่ดูแลสุขภาพอนามัยของประชากรในโลกอย่าง FAO/WHO แต่กระนั้นก็ไม่สามารถไว้วางใจได้เลยที่จะไม่ติดตามสถานการณ์ เพราะอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอบนโลกใบนี้เพราะความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน

การแทรกแซงของพืช GMO


พืช GMO เป็นอีกหนึ่งแหล่งของวัตถุดิบอาหารที่อาจมีการนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร สถานการณ์การลุกล้ำเข้ามาทดแทนพันธุ์พืชปกติช่างเป็นสิ่งที่ต้องคอยติดตาม มีปัญหามากมายที่ยังคงต้องถกกันต่อไปไม่จบสิ้นแน่นอน http://www.thaibiotech.info/disadvantages-of-gmos.php ทั้งเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ห่วงโซ่อาหารในธรรมชาติ ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต ผลกระทบต่อร่างกายผู้บริโภค โครงสร้างของวัตถุดิบธรรมชาติที่มีส่วนประกอบเป็นของเทียมที่ได้มาจากสิ่งมีชีวิตอื่นจะกระทบต่อร่างกายมากน้อยแค่ไหน จะมีผลทำให้เกิดอาการแพ้หรือไม่ ร่างกายเสียสมดุลหรือเปล่า แบคทีเรียในร่างกายรับชิ้นส่วนยีนที่มาจากไวรัสแล้วจะเกิดการต่อต้านยาปฏิชีวนะหรือไม่ และผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจที่เป็นที่ทราบกันดีว่า ผลงานทรัพย์สินทางปัญญา สิ่งประดิษฐ์มีชีวิตเหล่านั้นหากผู้อื่นต้องการครอบครอง แน่นอนว่าจะต้องจ่ายค่าใช้สิทธิบัตร นั่นยิ่งเป็นการยอมตกเป็นเบี้ยล่างของบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศมหาอำนาจอย่าง มอนซานโต้
            http://www.gotomanager.com/news/printnews.aspx?id=94786 ถ้าไม่ตามข่าวก็คงไม่ทราบรายละเอียดความเป็นไปที่คิดว่าประเทศยุโรปปฏิเสธการยอมรับ GMO ตามข่าวดังกล่าวจากเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการได้รายงานว่ายังมีการดำเนินงานวิจัยและการรณรงค์ทางการตลาดเพื่อส่งเสริมอาหาร GMO ในเบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ และแน่นอนว่าสถานการณ์ต่อมาก็คือมีความขัดแย้งกับผู้ไม่เห็นด้วย เป็นเรื่องเป็นราวเป็นคดีความในความพยายามต่อต้านงานวิจัย GMO ของนักวิจัยกันต่อไป
แนวโน้มของสถานการณ์ในประเทศต่างๆ อย่างยุโรปยังอยู่ในภาวะเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหากมีรัฐบาลเป็นแกนนำดังเช่นตามที่ข่าวเสนอเพื่อให้เกิดการยอมรับพืช GMO มาปลูกเป็นอาหารก็ยากที่จะจับทิศทางการปนเปื้อนเข้ามาในห่วงโซ่อาหาร แล้วประเทศไทยล่ะ??? ยิ่งมีปัญหาแห้งแล้ง ฝนตกไม่ทั่วถึงบ้าง ตกมากจนน้ำท่วมบ้าง แมลงศัตรูพืชมาก ฯลฯ ปัญหาต่างๆเหล่านี้กลับจะเป็นวัตถุดิบข้อมูลให้บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างมอนซานโต้นำไปคิดค้นพืช GMO ใหม่ๆ เพื่อนำมาเสนอเป็นทางเลือกแก้โจทย์ประเด็นปัญหาความมั่นคงทางอาหารให้แก่ประชากรทั่วโลก ถ้าหากฝ่ายอนุรักษ์นิยมไม่สามารถตามแก้ปัญหาได้ทันและทั่วถึง ก็เป็นการยากที่จะควบคุมการทะลัก การปลอมปนของพืช GMO ต่างๆ ดังที่เคยมีกรณีมีการปล่อยให้ปนในแปลงเกษตรในหลายจังหวัดในหลายปีที่ผ่านมา http://www.ryt9.com/s/tpd/794584 หรืออย่างเช่นกรณีสงสัยมะนาวราคาถูกที่ทะลักมาจากประเทศเขมรและเวียดนามเมื่อเร็วๆ นี้ http://www.komchadluek.net/detail/20120308/124924......... ประกอบกับธุรกิจที่มีอิทธิพลอย่างเช่นกรณีมอนซานโต้ ซึ่งมีสาขาที่เป็นตัวแทนจำหน่ายในหลายจังหวัดในประเทศไทยและอยู่ในหลายๆ ประเทศทั่วโลกด้วย http://www.monsanto.com/whoweare/Pages/thailand.aspx http://www.monsanto.com/Pages/default.aspx กรณีอยู่ในแถบต่างจังหวัดซึ่งคลุกคลีกับเกษตรกร ไม่แน่ว่าอาจมีการดำเนินนโยบายทางการตลาดเพื่อให้เกษตรยอมรับพืช GMO โดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้
            เรื่องของห่วงโซ่อาหารเป็นสิ่งที่ควบคุมยากจริงๆ อย่างเช่น  กรณีของการนิยมนำเข้าถั่วเหลืองจากประเทศแถบทวีปอเมริกามาหีบเป็นน้ำมันพืชแล้วขายกากเป็นอาหารสัตว์ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=nahoad&month=05-04-2006&group=5&gblog=5  ประเด็นอาหารสัตว์......รู้สึกจะเป็นจุดตายของปัญหาความปลอดภัยของอาหารหลายกรณี มันมาจากอาหารสัตว์อีกแล้ว แล้วแน่นอนว่ามันก็ต้องเป็นส่วนหนึ่งในเนื้อสัตว์ และนั่นมันก็คงเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของเราไปแล้ว.....หรือเปล่า ????ฌ?ฯ

การประเมินความปลอดภันในอาหาร....สิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นทีนี่ ที่ประเทศไทย


เมื่อมีการคิดค้นสารเจือปนในอาหารตัวใหม่ออกมา สำหรับประเทศที่ต้องมีการยื่นเอกสารขออนุญาตใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารก่อนที่จะทำการจำหน่ายและ/หรือขอจดทะเบียนผลิตภัณฑ์ คาดว่าประเทศนั้นคงเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มักมีความคิดสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ มีเงินทุน มีศักยภาพในการผลิต และประเทศนั้นต้องมีระบบรองรับในการประเมินความปลอดภัย เพราะขั้นตอนการดำเนินการ ขอบเขตการวิจัย/ทดลอง รวมถึงบุคลากรและเงินทุนคงต้องใช้ทรัพยาการต่างๆ ตรงนี้มากทีเดียว
            ในแนวทางการประเมินความปลอดภัยนั้น หลังจากที่ทราบคุณสมบัติทางเคมีและกายภาพของสารเคมีดังกล่าวแล้วก็ต้องมีการประเมินการสัมผัสหรือการบริโภคนั่นเอง ซึ่งต้องให้ได้มาทั้งข้อมูลปริมาณและโอกาส ประเด็นนี้คงเป็นขั้นตอนและการดำเนินงานที่ต้องใช้ผู้รับผิดชอบจำนวนไม่น้อยในการออกสำรวจเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลจำนวนมากเพียงพอที่จะเป็นตัวแทนประชากรระดับประเทศได้ เมื่อได้ปริมาณที่เป็นตัวแทนแล้วก็ต้องผ่านกระบวนการทดลองกับสัตว์ทดลองหลายขั้นตอนมากมาย และสารบางตัวอาจจะต้องทดสอบถึงระดับความเป็นพิษเรื้อรังซึ่งอาจต้องใช้เวลานานเป็นปีๆ
            ดังนั้นโดยสภาพของอุตสาหกรรมในประเทศไทยโดยเฉพาะอุตสาหกรรมขนาดเล็กและขนาดกลางก็มักจะใช้สารเจือปนในอาหารอย่างง่ายที่เรียกกันว่า GRAS (Generally recognized as safe)  เช่น เกลือ น้ำตาล น้ำปลา ผงชูรส แบะแซ (glucose syrup) แต่ถ้าเป็นอุตสาหกรรมอาหารขนาดใหญ่ อุตสาหกรรมร่วมทุนข้ามชาติก็จะมีการใช้องค์ความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การอาหารเข้ามาช่วยในการปรับปรุงคุณลักษณะของอาหารให้มีคุณภาพดี มีลักษณะเหมาะสมในการรับประทานซึ่งก็มีการนำสารเจือปนต่างๆ มากมายมาใช้ ในประเทศไทยเองไม่ค่อยมีผู้ผลิตสารเจือปนชนิดใหม่ๆ เมื่อบริษัทต้องการจะใช้งานก็จะมีการนำเข้าจากประเทศผู้ผลิตโดยการขออนุญาตกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาก็จะใช้ผลการประเมินความปลอดภัยที่วิเคราะห์มาจากประเทศที่ผลิตนั้น ดังเช่นกรณี กลุ่มบริษัทอายิโนะโมะโต๊ะซึ่งมีบริษัทผลิต seasoning อยู่ทั่วโลก http://www.ajinomoto.com.my/2009/en/features/map.html  http://www.ajinomoto.com/contact_us/index.html  ซึ่งก็จะมีการสนับสนุนเพื่อการผลิตผลิตภัณฑ์อื่นของบริษัทในเครือที่ตั้งอยู่ทั่วโลก เช่นบริษัทผลิตอาหารแช่แข็ง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น http://www.ajinomoto.com/overview/index.html

การประเมินความปลอดภัยในอาหาร


            จากการค้นคว้า search ข้อมูลเกี่ยวกับ genetic toxicology Testing พบว่าในปัจจุบันมีวิธีการต่างๆ มากมายในการใช้ทดสอบความเป็นพิษด้านพันธุกรรมของสารเคมีต่างๆ  โดยประเทศที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มากคือ สหรัฐอเมริกาและประเทศในแถบทวีปยุโรป
            มีข้อสังเกตว่าในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีการจัดตั้งหน่วยงานเพื่อดูแลด้านนี้ ได้แก่ แผนกพิษวิทยาพันธุกรรมและโมเลกุล (Genetic and Molecular Toxicology) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดของ FDA มีการกำหนดขอบเขตงานอย่างหนึ่งคือการวิจัยหาสารพิษที่มาจากอาหารโดยให้ความสำคัญอันดับหนึ่งกับการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร http://www.fda.gov/AboutFDA/CentersOffices/OC/OfficeofScientificandMedicalPrograms/NCTR/WhatWeDo/ResearchDivisions/ucm079025.htm ประเด็นนี้ทำให้นึกถึงสภาพการใช้ชีวิตของสังคมอเมริกันที่อาจารย์ชณิพรรณและพี่หมอต่อศักดิ์เคยเล่าให้ฟังว่า คนอเมริกันนิยมรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกันมาก ทานกันทีละเป็นกำมือ อีกทั้งผลิตภัณฑ์ยังสามารถวางจำหน่ายผ่านระบบที่ไม่ต้องมีการตรวจประเมินความปลอดภัยเพื่อขออนุญาตกับFDA ด้วยซึ่งแตกต่างจากประเทศไทย เบื้องต้นก็คงคิดว่าเพราะเป็นประเทศที่มีการปกครองแบบให้สิทธิเสรีภาพกับประชาชนเต็มที่ แต่เบื้องลึกก็อาจมาจากอิทธิพลของนักธุรกิจการเมืองทั้งหลาย ที่จริงแล้วเป็นวิธีการแบบไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาชัดๆ หากเจ็บป่วยถึงตายกันก็ค่อยจะมาฟ้องร้องกันเอาทีหลัง ซึ่งมันไม่คุ้มเลยกับการสูญเสียโอกาสการใช้ชีวิตที่ปกติ ก็เป็นประเด็นที่น่าสงสัยว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะตรวจสอบได้ทันกับการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ของภาคธุรกิจหรือไม่
            ส่วนอีกข้อมูลหนึ่งที่ค้นเจอเป็นเรื่องของภาคธุรกิจที่แสดงบทบาทเป็นผู้สนับสนุนการดำเนินงานวิจัยเพื่อปกป้องมนุษย์ สัตว์และสิ่งแวดล้อมและมุ่งลดจำนวนการใช้สัตว์ในงานประเมินทางพิษวิทยา นั่นคือบริษัท Procter & Gamble (P&G) ได้มีการจัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาดำเนินงานร่วมกับ Alternatives Research & Development Foundation,     American Chemistry Council,     The Humane society of the United States,     Human toxicology project consortium,      American cleaning institute for better living http://alttox.org/ttrc/toxicity-tests/carcinogenicity/way-forward/aardema/ โดยมีการร่วมมือกันปรับปรุงวิธีการทดลองและคิดค้นวิธีการใหม่ๆ ในแบบ in vitro และ in silico (http://en.wikipedia.org/wiki/In_silico) คำศัพท์นี้เป็นคำใหม่ที่ไม่เคยทราบมาก่อน เข้าใจว่าเป็นการใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยจำลองสถานการณ์การก่อพิษในสิ่งมีชีวิต ซึ่งถ้าหากนักพิษวิทยาสามารถหาข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็นเกี่ยวกับสารพิษต่างๆ ที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว เช่น ลักษณะด้านกายภาพ เคมี เภสัชจลศาสตร์ ประวัติการก่อพิษ ฯลฯ จนนักคอมพิวเตอร์สามารถสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อทำนายการก่อพิษจากโครงสร้างของสารเคมีและแนวทางความเป็นพิษต่ออวัยวะเป้าหมายได้สำเร็จและถูกต้อง วันนั้นคงเป็นข่าวดีของมนุษยชาติอย่างมากที่จะสามารถใช้วิธีที่ง่ายดาย สามารถช่วยรักษาชีวิตของสัตว์ไปได้มาก แต่ก็ไม่ทราบว่าจะนานมากแค่ไหนที่จะทำได้เช่นนั้น เมื่อวันนั้นมาถึงสภาพชีวิตของนักพิษวิทยาคงต้องเปลี่ยนไปแน่นอนอย่างน้อยก็พอมองออกว่านั่นเป็นการใช้แรงงานมนุษย์ที่น้อยลง http://www.gta-us.org/scimtgs/2011Meeting/posters2011.html

Food Safety Evaluation


             HACCP (Hazard Analysis and Critical Control Point) เป็นระบบวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุมที่ใช้ในการจัดการอันตรายที่อาจติดมากับตัววัตถุดิบและที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการแปรรูปอาหารซึ่งตัวเองได้รับความรู้มาตั้งแต่เมื่อครั้งที่เรียนปริญญาตรีและได้ร่วมจัดทำกับทางบริษัทเมื่อตอนทำงาน นอกจากนั้นเคยได้รับการอบรมเพิ่มเติมในเรื่องระบบการจัดการความปลอดภัยอาหารอื่นที่เข้มงวดขึ้นไปอีก เช่น การวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk analysis) ประกอบด้วย การประเมินความเสี่ยง (Risk assessment) การจัดการความเสี่ยง (Risk management) และการสื่อสารความเสี่ยง (Risk communication) http://www.foodriskhub.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539311398&Ntype=3 จากการที่ได้อบรมครั้งนั้นทางบริษัทก็ยังไม่ได้นำมาบังคับใช้และจำได้แต่เพียงว่า มันได้มีการเรียนความรู้ใหม่ๆ มีเรื่องของระดับความเจ็บป่วยของการได้รับอันตราย มีการต้องอาศัยข้อมูลทางระบาดวิทยา จากประเด็นความรู้ใหม่ในครั้งนั้นสู่การเรียนในเรื่องพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ จึงได้มีแนวความคิดว่าความรู้ที่ได้ในระหว่างการเรียนหลักสูตรนี้น่าจะตอบโจทย์ที่มาของหลักการที่ใช้ในการประเมินระดับความเสี่ยงของอันตรายที่อาจมีในอาหารดังกล่าวได้
            การประเมินความปลอดภัยของสารเคมีในอาหาร ที่กำลังเรียนอยู่นี้ก็เป็นที่มาที่จะนำไปใช้ในการประเมินความเสี่ยงตามระบบดังกล่าวในส่วนของอันตรายด้านเคมีนั่นเอง โดยจากการค้นคว้าเพิ่มเติม http://www.foodnetworksolution.com/vocab/wordcap/risk%20assessment  พบว่าการประเมินความเสี่ยงมีอยู่ 4 ขั้นตอน คือ การระบุอันตราย (Hazard Identification) การประเมินการตอบสนองต่อปริมาณ (Dose-response assessment) การประเมินการได้รับสัมผัส (Exposure Assessment) การแสดงลักษณะเฉพาะของความเสี่ยง (Risk Characterization)
การระบุอันตราย  ในระบบการวิเคราะห์อันตรายนี้ จะคล้ายกับการการระบุอันตรายที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบ HACCP ในหลักการที่ 1 เรื่องการดำเนินการวิเคราะห์อันตรายใน 3 ด้าน คือ กายภาพ เคมีและชีวภาพ  http://www.kmitl.ac.th/foodeng/St-homepage/Code43/43010621/Hazard%20Analysis%20and%20Critical%20Control%20Point%20(HACCP)%20System.htm 
แต่ในระบบวิเคราะห์อันตรายจะให้พิจารณาอันตรายโดยเฉพาะในด้านเคมีและชีวภาพเนื่องจากการก่อพิษจะหลากหลายกว่าอันตรายด้านภายภาพที่จะชัดเจนอยู่ที่การทำให้บาดเจ็บที่ปาก และระบบนี้จะเน้นพิจารณาอันตรายที่มีพื้นฐานข้อมูลทางระบาดวิทยา การศึกษาทางระบาดวิทยา การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลัน (Acute toxicity) การทดสอบพิษกึ่งเฉียบพลัน (Subchronic toxicity) การทดสอบระยะยาว (Long term studies) การศึกษาการเกิดมะเร็ง (Carcinogenicity studies) การศึกษาการก่อกลายพันธุ์ (Mutagenic studies) การศึกษาในเชิงเมแธบอลิซึม (Metabolism) การศึกษาการเกิดลูกวิรูป (Teratogenic studies) และการศึกษาผลต่อระบบสืบพันธุ์ (Reproductive effect studies)
การประเมินการตอบสนองต่อปริมาณ  ก็เป็นการประยุกต์ข้อมูลความรู้ด้านพิษวิทยาจากข้อมูลเชิงระบาดวิทยาและการทดลองในสัตว์มาใช้เพื่อประเมินข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับขนาดและการตอบสนองต่อสิ่งที่เป็นอันตรายในแง่คุณภาพและปริมาณ ซึ่งคนที่ทำงานที่โรงงานอาหารส่วนใหญ่ก็มีความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร ประเด็นนี้จึงคงเป็นเรื่องปวดหัวทีเดียวหากบริษัทไหนที่เริ่มทำระบบเพราะต้องมานั่งเรียนสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน
การประเมินการได้รับสัมผัส  เป็นการประเมินในเชิงคุณภาพหรือในเชิงปริมาณถึงความเป็นไปได้ที่ผู้บริโภคหนึ่งคนหรือประชากรหนึ่งกลุ่มจะได้รับสารพิษหรือจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคผ่านทางอาหารเข้าสู่ร่างกายรวมทั้งปริมาณที่ได้รับประเด็นนี้ก็อาจเป็นได้ทั้งในส่วนที่มีงานศึกษาวิจัยทำไว้ แต่ถ้าหากไม่มีทางบริษัทก็ต้องประเมินเองตามแนวทางของข้อมูลโภชนาการที่กำหนดหนึ่งหน่วยบริโภคไว้ประกอบกับการพิจารณาความถี่ของการรับประทานด้วย
 การแสดงลักษณะเฉพาะของความเสี่ยง  เป็นการรวมเอาข้อมูลและผลการวิเคราะห์จากทั้ง 3 ขั้นตอนข้างต้นมาใช้ระบุถึงโอกาสที่ผู้บริโภคจะได้รับอันตรายและความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการได้รับสารพิษและเชื้อจุลินทรีย์ แล้วอาจจะสื่อออกมาเป็น ระดับความรุนแรงซึ่งตามระบบการจัดการมักจะต้องการให้มีการจัดลำดับความสำคัญเพื่อให้ผู้ประกอบการผลิตอาหารมีการจัดการที่เหมาะสมตามลำดับความสำคัญนั้นและมีการสื่อสารความเสี่ยงเพื่อให้การจัดทำระบบมีประสิทธิภาพและเกิดสัมฤทธิผล
ขั้นตอนต่างๆ ในระบบการประเมินความเสี่ยงสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร  http://www.nfi.or.th/th/activity-detail.php?tid=207  เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำความเข้าใจเพื่อจัดทำระบบโดยเฉพาะบริษัทที่มีการส่งอาหารออกไปจำหน่ายยังประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งต้องการให้บริษัทส่งออกมีการดำเนินการให้ผ่านเกณฑ์ของระบบต่างๆ เช่น BRC, IFS, SQF, FSSC 22000 เป็นต้น การได้มาเรียนหลักสูตรพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการก็จะมีประโยชน์ในการเป็นฐานความรู้ให้เกิดความเข้าใจถึงที่มาในการกำหนดค่าหรือระดับของสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาหารอันอาจก่ออันตรายต่อผู้บริโภคได้ ซึ่งก็จะช่วยให้เกิดความเข้าใจเมื่อได้มีส่วนร่วมในการดำเนินการจัดทำระบบดังกล่าว