Life is Learn
Walk with me, growth and share. Another my style, please visit https://www.facebook.com/Sorns.Philosophy/
วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2561
วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555
มหันตภัยพืชอาหาร GMO
ใครๆ ต่างกล่าวขานถึงเทคโนโลยีชีวภาพจะมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ในศตวรรษที่
21 นี้ ประโยชน์ของมันถูกใช้ในหลายๆ วงการ ได้แก่
ทางการแพทย์ พลังงาน สิ่งแวดล้อม เกษตร อาหาร อาวุธ ฯลฯ ทุกวงการก็คงมุ่งหวังการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาเดิมๆที่ไม่อาจแก้ไขได้หรือมีการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ
แต่วงการที่กระทบกับชีวิตมนุษย์โดยตรงก็คงไม่พ้นเรื่องอาหารการกินซึ่งก็สืบเนื่องมาจากการใช้ในทางการเกษตรด้วย
ซึ่งก็มักมีการคิดค้นต่อยอดหลักการพันธุวิศวกรรมจนได้ผลิตภัณฑ์มากมายที่ตอบโจทย์ปัญหาทางการเกษตร
สร้างพันธุ์พืชที่ทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ แมลงศัตรูพืช ทนต่อสารเคมีกำจัดศัตรูพืช
เพิ่มผลผลิตจำนวนมาก สร้างคุณค่างทางโภชนาการ รักษาสภาพความสดหลังการเก็บเกี่ยว
ฯลฯ
เทคโนโลยีดังกล่าวพัฒนาไปอย่างรวดเร็วในวงการธุรกิจ
ซึ่งธุรกิจยังไงเสียก็คือธุรกิจวันยันค่ำ หาใช่องค์กรการกุศล
ธุรกิจที่จะยืนอยู่ได้ต้องมีวิสัยทัศน์คาดการณ์อนาคตได้ไกล
สามารถปรับตัวให้ทันกระแสผู้บริโภคและยิ่งถ้าเป็นผู้นำหรือสามารถกำหนดพฤติกรรมผู้บริโภคได้ก็จะทำให้ธุรกิจยั่งยืน
และเป้าหมายหลักของการประกอบธุรกิจก็คือผลกำไร
แน่นอนว่าเหล่าบริษัทที่ทำธุรกิจด้านเทคโนโลยีชีวภาพก็คิดค้นผลิตภัณฑ์ของตัวเองขึ้นมาดึงดูดลูกค้าและโฆษณาให้เกิดปัญหาหรือความจำเป็นที่ต้องซื้อสินค้าและเป็นปกติวิสัยว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้สามารถขายสินค้าได้
โลกนี้ช่างมีแต่เรื่องของธุรกิจแม้แต่กับรัฐบาล ไม่น่าแปลกเลยที่ประชาชนทั่วสหรัฐอเมริกาต่างเรียกร้องให้ติดฉลากสินค้าที่มีส่วนประกอบมาจากวัตถุดิบ
GMO แต่ทำไมการผลักดันกฎหมายนานกว่า 10 ปียังไม่ประสบผลสำเร็จจนถึงทุกวันนี้ ประเทศที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าก็ใช่จะมีแต่เรื่องดีๆ
ตรงกันข้ามกลับมองว่าประชาชนในสหรัฐอเมริกาเหมือนเป็นหนูทดลองที่ถูกให้อาหาร GMO
แทบทุกวัน แล้วในระยะยาวผลที่มีต่อสุขภาพจะเป็นอย่างไร
จะมีอุบัติการณ์โรคใดเพิ่มสูงขึ้นหรือมีโรคอุบัติใหม่บ้างหรือไม่
เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมกรรมผลิตคอร์นไซรัปที่เจริญดีและเป็นที่นิยมบริโภคในร้านแมคโดนัลด์
รวมถึงการนิยมใช้ไขมันทรานซ์ในผลิตภัณฑ์ในยุคก่อนหน้านี้ซึ่งนั่นได้ทำให้ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศมีปัญหาโรคอ้วนและความเสี่ยงต่อโรคหัวใจโดยมีสภาพการณ์ที่เห็นได้ชัดเจนเมื่อเทียบกับผู้คนในประเทศอื่นๆ
หลังจากได้ดูวีดีโอ
Monsanto GMO มีความสงสัยการชี้บ่งข้อความ “Biodegradable”
ที่ระบุไว้ข้างขวดของผลิตภัณฑ์ยาฆ่าหญ้า Roundup ว่าจะเชื่อถือได้ตามนั้นจริงหรือไม่http://articles.mercola.com/sites/articles/archive/2012/01/15/dr-don-huber-interview-part-2.aspx
เว็บไซต์ดังกล่าวได้อธิบายว่าในปี 2009 ประเด็นดังกล่าวได้ถูกศาลของประเทศฝรั่งเศสตัดสินว่าเป็นโฆษณาที่หลอกลวง
และโดยข้อมูลจาก School of Public Health at the University of California,
Berkeley http://www.organicconsumers.org/monad.html
ต้องใช้เวลานาน 7 ปีกว่าจะรวบรวมข้อมูลที่มีน้ำหนักเพียงพอจนสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับผลิตภัณฑ์ของมอนซานโต้
โดยข้อมูลดังกล่าวได้สรุปว่าสารออกฤทธิ์ glyphosate ในผลิตภัณฑ์ที่รวมถึง
roundup ทำให้เกิดการเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากการใช้ยาฆ่าแมลงของเกษตรกรสูงเป็นอันดับที่
3 โดยมอนซานโต้ยอมรับที่จะเปลี่ยนแปลงการโฆษณาดังกล่าวในนิวยอร์ค
และยอมจ่ายเงิน 50,000 เหรียญเพียงเพื่อไม่ต้องการให้เกิดคดีความ
แต่ยังยืนยันว่าโฆษณาของตนถูกต้องและไม่ได้ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและไม่ได้ทำผิดกฎหมายท้องถิ่น
รัฐหรือสหพันธรัฐแต่อย่างใด นั่นหมายความว่าบริษัทไม่ได้ดำเนินการดังกล่าวในรัฐอื่นๆ
ใช่หรือไม่
บริษัทเร่งงานวิจัยเพื่อปล่อยสินค้าออกจำหน่ายโดยไม่มีการวิเคราะห์ผลกระทบต่างๆ
ให้เพียงพอแม้แต่ผลกระทบต่อตัวผลิตภัณฑ์เอง ดังเช่น กรณี roundup ready
soybean http://articles.mercola.com/sites/articles/archive/2012/01/15/dr-don-huber-interview-part-2.aspx
โดยมีการพบว่าการใช้สารออกฤทธิ์ glyphosate
ทำลายเชื้อแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในดินซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคเพิ่มจำนวนขึ้นและมีการพัฒนาความรุนแรงของการก่อโรคด้วย
โดยมีการพบเชื้อรา fusaria ที่ทำให้เกิดโรค “Sudden
death syndrome” มากถึง 500% ที่ส่วนรากของต้นถั่วเหลือง
บริษัทมีอิทธิพลต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐชนิดที่ว่าไม่สนใจที่จะดำเนินการใดๆ
เพื่อทำให้ประชาชนได้ทราบข้อมูลที่แท้จริงที่เป็นแนวโน้มการก่ออันตรายต่อผู้บริโภคโดยสิ้นเชิงทั้งๆ
ที่มีข้อมูล ผลการศึกษาและอุบัติการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น
โดยกลางปีที่แล้วมอนซานโต้ได้เดินหน้าออกผลิตภัณฑ์ใหม่
เป็นข้าวโพดหวานที่มีการใส่ทั้งยีนจาก BT-toxin และยีน
Roundup ready โดยการอนุมัติของ EPA (Environmental
Protection Agency) ทั้งๆ ที่ทราบข้อมูลต่างๆ มากมายว่า Bt-toxin
แสดงพิษร้ายทัดเทียมกับ cholera toxin จากผลการทดสอบในหนู
mice
แม้กระทั่งทำปฏิกิริยากับอาหารอื่นซึ่งไม่เคยก่ออันตรายมาก่อน
อุบัติการณ์ในคนก็พบคนงานฟาร์มมีการตอบสนองต่อ Bt-toxin ทางระบบภูมิคุ้มกัน
และผู้คนกว่า 500 คนในวอชิงตันและแวนคูเวอร์แสดงอาการแพ้และมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่เมื่อสัมผัสสารโดยการสเปรย์เมื่อใช้มันฆ่าผีเสื้อ
ทั้งๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ของ EPA ก็ออกมายอมรับว่าสารดังกล่าวสามารถแสดงศักยภาพเป็น
antigen และสารก่อภูมิแพ้ได้แต่ก็ทำเป็นมองข้ามข้อมูลดังกล่าวไป
แม้แต่ในคนที่รับประทานอาหารปกติชาวแคนาดาก็ถูกตรวจพบ
Bt-toxin ในเลือดทั้งผู้ใหญ่และเด็กเกิดใหม่
จึงมีข้อสงสัยว่าจะปนเปื้อนมากับอาหารที่ใช้เลี้ยงปศุสัตว์และแน่นอนว่าสารดังกล่าวก็สามารถถูกถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกโดยผ่านทางรกซึ่งก็มีรวบรวมหลักฐานอย่างต่อเนื่องตลอดมาตั้งแต่มีการเริ่มปลูกพืชที่มียีนของ
Bt-toxin ตั้งแต่ปี 1996
มีการศึกษาการตรวจสุขภาพในคน พบว่าคนที่แม้จะเคยทานอาหาร GMO แม้เพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่ยีนจาก roundup ready soybean ที่ได้มาจากยีนของแบคทีเรียที่มอนซานโต้พบที่กองขยะสารเคมีซึ่งมีความทนทานต่อ
roundup นั้น สามารถถูกถ่ายทอดไปยัง DNA ของแบคทีเรียในทางเดินอาหารของคนนั้นได้
ซึ่งก็จะยังคงอยู่ต่อไปแม้จะไม่ได้ทานอาหาร GMO แล้วก็ตาม
แบคทีเรียดังกล่าวนี้ถูกเรียกว่า “roundup ready gut bacteria” เป็นการเรียกชื่อเหมือนประชดประชันแต่ก็ถูกต้องสมเหตุสมผลดี
และหากมันเป็นสารแปลกปลอม
สารก่อภูมิแพ้นั่นก็เท่ากับว่าเรามีการผลิตสารดังกล่าวขึ้นในตัวตลอดเวลาก็จะทำให้เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
มีการตั้งรับหาหลักฐานว่าหาก
Bt gene อยู่ในแบคทีเรียในทางเดินอาหารของผู้คนแถบทวีปอเมริกาเหนือ
คงจะมีอุบัติการณ์ การเจ็บป่วยระบบกระเพาะอาหาร
โรคแพ้ภูมิตัวเอง แพ้อาหาร
ความผิดปกติในการเรียนรู้ของเด็กเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นับจากพืชที่มียีน Bt เริ่มจำหน่ายในปี 1996 มันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานกว่า
16 ปีแต่ก็คงยังไม่มีน้ำหนักพอที่จะไปงัดข้อกับมอนซานโต้ได้
ก็คงต้องเก็บข้อมูลไปอีกนานมากทีเดียว
มุมมองต่อการใช้ชีวิตอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาดูจะไม่มีทางเลือกในการบริโภคอาหารเหมือนถูกบังคับให้ทานพืชและสัตว์
GMO มันรู้สึกเหมือนเป็นการสะสมสารพิษในร่างกายซึ่งน่าจะแย่กว่าสารพิษที่มีในอาหารต่างๆ
อย่างอื่นซึ่งเราก็บริโภคได้บ้างเพราะประเทศไทยเรามีอาหารหลากหลายให้บริโภค
เรื่องราวของ GMO ในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีภาพลักษณ์เป็นประเทศแห่งประชาธิปไตยและความเท่าเทียมทางสิทธิและเสรีภาพ
แท้ที่จริงนั้นกลับยากลำบากมากในการต่อสู้เพื่อให้ได้สิทธิอันชอบธรรมนั้นและช่างไม่น่าภูมิใจเลยกลับสิทธิการได้ทานอาหาร
GMO ถ้วนหน้าถึงกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้รู้สึกโชคดีที่ประเทศไทยยังอยู่ภายใต้องค์กรที่ดูแลสุขภาพอนามัยของประชากรในโลกอย่าง
FAO/WHO แต่กระนั้นก็ไม่สามารถไว้วางใจได้เลยที่จะไม่ติดตามสถานการณ์
เพราะอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอบนโลกใบนี้เพราะความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน
อาหาร GMO กับความเสี่ยงในชีวิตมนุษย์
ใครๆ
ต่างกล่าวขานถึงเทคโนโลยีชีวภาพจะมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 นี้ ประโยชน์ของมันถูกใช้ในหลายๆ วงการ ได้แก่ ทางการแพทย์ พลังงาน
สิ่งแวดล้อม เกษตร อาหาร อาวุธ ฯลฯ ทุกวงการก็คงมุ่งหวังการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาเดิมๆที่ไม่อาจแก้ไขได้หรือมีการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ
แต่วงการที่กระทบกับชีวิตมนุษย์โดยตรงก็คงไม่พ้นเรื่องอาหารการกินซึ่งก็สืบเนื่องมาจากการใช้ในทางการเกษตรด้วย
ซึ่งก็มักมีการคิดค้นต่อยอดหลักการพันธุวิศวกรรมจนได้ผลิตภัณฑ์มากมายที่ตอบโจทย์ปัญหาทางการเกษตร
สร้างพันธุ์พืชที่ทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ แมลงศัตรูพืช ทนต่อสารเคมีกำจัดศัตรูพืช
เพิ่มผลผลิตจำนวนมาก สร้างคุณค่างทางโภชนาการ รักษาสภาพความสดหลังการเก็บเกี่ยว
ฯลฯ
เทคโนโลยีดังกล่าวพัฒนาไปอย่างรวดเร็วในวงการธุรกิจ
ซึ่งธุรกิจยังไงเสียก็คือธุรกิจวันยันค่ำ หาใช่องค์กรการกุศล
ธุรกิจที่จะยืนอยู่ได้ต้องมีวิสัยทัศน์คาดการณ์อนาคตได้ไกล
สามารถปรับตัวให้ทันกระแสผู้บริโภคและยิ่งถ้าเป็นผู้นำหรือสามารถกำหนดพฤติกรรมผู้บริโภคได้ก็จะทำให้ธุรกิจยั่งยืน
และเป้าหมายหลักของการประกอบธุรกิจก็คือผลกำไร
แน่นอนว่าเหล่าบริษัทที่ทำธุรกิจด้านเทคโนโลยีชีวภาพก็คิดค้นผลิตภัณฑ์ของตัวเองขึ้นมาดึงดูดลูกค้าและโฆษณาให้เกิดปัญหาหรือความจำเป็นที่ต้องซื้อสินค้าและเป็นปกติวิสัยว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้สามารถขายสินค้าได้
โลกนี้ช่างมีแต่เรื่องของธุรกิจแม้แต่กับรัฐบาล ไม่น่าแปลกเลยที่ประชาชนทั่วสหรัฐอเมริกาต่างเรียกร้องให้ติดฉลากสินค้าที่มีส่วนประกอบมาจากวัตถุดิบ
GMO แต่ทำไมการผลักดันกฎหมายนานกว่า 10 ปียังไม่ประสบผลสำเร็จจนถึงทุกวันนี้ ประเทศที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าก็ใช่จะมีแต่เรื่องดีๆ
ตรงกันข้ามกลับมองว่าประชาชนในสหรัฐอเมริกาเหมือนเป็นหนูทดลองที่ถูกให้อาหาร GMO
แทบทุกวัน แล้วในระยะยาวผลที่มีต่อสุขภาพจะเป็นอย่างไร
จะมีอุบัติการณ์โรคใดเพิ่มสูงขึ้นหรือมีโรคอุบัติใหม่บ้างหรือไม่
เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมกรรมผลิตคอร์นไซรัปที่เจริญดีและเป็นที่นิยมบริโภคในร้านแมคโดนัลด์
รวมถึงการนิยมใช้ไขมันทรานซ์ในผลิตภัณฑ์ในยุคก่อนหน้านี้ซึ่งนั่นได้ทำให้ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศมีปัญหาโรคอ้วนและความเสี่ยงต่อโรคหัวใจโดยมีสภาพการณ์ที่เห็นได้ชัดเจนเมื่อเทียบกับผู้คนในประเทศอื่นๆ
หลังจากได้ดูวีดีโอ
Monsanto GMO มีความสงสัยการชี้บ่งข้อความ “Biodegradable”
ที่ระบุไว้ข้างขวดของผลิตภัณฑ์ยาฆ่าหญ้า Roundup ว่าจะเชื่อถือได้ตามนั้นจริงหรือไม่http://articles.mercola.com/sites/articles/archive/2012/01/15/dr-don-huber-interview-part-2.aspx
เว็บไซต์ดังกล่าวได้อธิบายว่าในปี 2009 ประเด็นดังกล่าวได้ถูกศาลของประเทศฝรั่งเศสตัดสินว่าเป็นโฆษณาที่หลอกลวง
และโดยข้อมูลจาก School of Public Health at the University of California,
Berkeley http://www.organicconsumers.org/monad.html
ต้องใช้เวลานาน 7 ปีกว่าจะรวบรวมข้อมูลที่มีน้ำหนักเพียงพอจนสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับผลิตภัณฑ์ของมอนซานโต้
โดยข้อมูลดังกล่าวได้สรุปว่าสารออกฤทธิ์ glyphosate ในผลิตภัณฑ์ที่รวมถึง
roundup ทำให้เกิดการเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากการใช้ยาฆ่าแมลงของเกษตรกรสูงเป็นอันดับที่
3 โดยมอนซานโต้ยอมรับที่จะเปลี่ยนแปลงการโฆษณาดังกล่าวในนิวยอร์ค
และยอมจ่ายเงิน 50,000 เหรียญเพียงเพื่อไม่ต้องการให้เกิดคดีความ
แต่ยังยืนยันว่าโฆษณาของตนถูกต้องและไม่ได้ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและไม่ได้ทำผิดกฎหมายท้องถิ่น
รัฐหรือสหพันธรัฐแต่อย่างใด นั่นหมายความว่าบริษัทไม่ได้ดำเนินการดังกล่าวในรัฐอื่นๆ
ใช่หรือไม่
บริษัทเร่งงานวิจัยเพื่อปล่อยสินค้าออกจำหน่ายโดยไม่มีการวิเคราะห์ผลกระทบต่างๆ
ให้เพียงพอแม้แต่ผลกระทบต่อตัวผลิตภัณฑ์เอง ดังเช่น กรณี roundup ready
soybean http://articles.mercola.com/sites/articles/archive/2012/01/15/dr-don-huber-interview-part-2.aspx
โดยมีการพบว่าการใช้สารออกฤทธิ์ glyphosate
ทำลายเชื้อแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในดินซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคเพิ่มจำนวนขึ้นและมีการพัฒนาความรุนแรงของการก่อโรคด้วย
โดยมีการพบเชื้อรา fusaria ที่ทำให้เกิดโรค “Sudden
death syndrome” มากถึง 500% ที่ส่วนรากของต้นถั่วเหลือง
บริษัทมีอิทธิพลต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐชนิดที่ว่าไม่สนใจที่จะดำเนินการใดๆ
เพื่อทำให้ประชาชนได้ทราบข้อมูลที่แท้จริงที่เป็นแนวโน้มการก่ออันตรายต่อผู้บริโภคโดยสิ้นเชิงทั้งๆ
ที่มีข้อมูล ผลการศึกษาและอุบัติการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น
โดยกลางปีที่แล้วมอนซานโต้ได้เดินหน้าออกผลิตภัณฑ์ใหม่
เป็นข้าวโพดหวานที่มีการใส่ทั้งยีนจาก BT-toxin และยีน
Roundup ready โดยการอนุมัติของ EPA (Environmental
Protection Agency) ทั้งๆ ที่ทราบข้อมูลต่างๆ มากมายว่า Bt-toxin
แสดงพิษร้ายทัดเทียมกับ cholera toxin จากผลการทดสอบในหนู
mice
แม้กระทั่งทำปฏิกิริยากับอาหารอื่นซึ่งไม่เคยก่ออันตรายมาก่อน
อุบัติการณ์ในคนก็พบคนงานฟาร์มมีการตอบสนองต่อ Bt-toxin ทางระบบภูมิคุ้มกัน
และผู้คนกว่า 500 คนในวอชิงตันและแวนคูเวอร์แสดงอาการแพ้และมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่เมื่อสัมผัสสารโดยการสเปรย์เมื่อใช้มันฆ่าผีเสื้อ
ทั้งๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ของ EPA ก็ออกมายอมรับว่าสารดังกล่าวสามารถแสดงศักยภาพเป็น
antigen และสารก่อภูมิแพ้ได้แต่ก็ทำเป็นมองข้ามข้อมูลดังกล่าวไป
แม้แต่ในคนที่รับประทานอาหารปกติชาวแคนาดาก็ถูกตรวจพบ
Bt-toxin ในเลือดทั้งผู้ใหญ่และเด็กเกิดใหม่
จึงมีข้อสงสัยว่าจะปนเปื้อนมากับอาหารที่ใช้เลี้ยงปศุสัตว์และแน่นอนว่าสารดังกล่าวก็สามารถถูกถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกโดยผ่านทางรกซึ่งก็มีรวบรวมหลักฐานอย่างต่อเนื่องตลอดมาตั้งแต่มีการเริ่มปลูกพืชที่มียีนของ
Bt-toxin ตั้งแต่ปี 1996
มีการศึกษาการตรวจสุขภาพในคน พบว่าคนที่แม้จะเคยทานอาหาร GMO แม้เพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่ยีนจาก roundup ready soybean ที่ได้มาจากยีนของแบคทีเรียที่มอนซานโต้พบที่กองขยะสารเคมีซึ่งมีความทนทานต่อ
roundup นั้น สามารถถูกถ่ายทอดไปยัง DNA ของแบคทีเรียในทางเดินอาหารของคนนั้นได้
ซึ่งก็จะยังคงอยู่ต่อไปแม้จะไม่ได้ทานอาหาร GMO แล้วก็ตาม
แบคทีเรียดังกล่าวนี้ถูกเรียกว่า “roundup ready gut bacteria” เป็นการเรียกชื่อเหมือนประชดประชันแต่ก็ถูกต้องสมเหตุสมผลดี
และหากมันเป็นสารแปลกปลอม
สารก่อภูมิแพ้นั่นก็เท่ากับว่าเรามีการผลิตสารดังกล่าวขึ้นในตัวตลอดเวลาก็จะทำให้เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
มีการตั้งรับหาหลักฐานว่าหาก
Bt gene อยู่ในแบคทีเรียในทางเดินอาหารของผู้คนแถบทวีปอเมริกาเหนือ
คงจะมีอุบัติการณ์ การเจ็บป่วยระบบกระเพาะอาหาร
โรคแพ้ภูมิตัวเอง แพ้อาหาร
ความผิดปกติในการเรียนรู้ของเด็กเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นับจากพืชที่มียีน Bt เริ่มจำหน่ายในปี 1996 มันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานกว่า
16 ปีแต่ก็คงยังไม่มีน้ำหนักพอที่จะไปงัดข้อกับมอนซานโต้ได้
ก็คงต้องเก็บข้อมูลไปอีกนานมากทีเดียว
มุมมองต่อการใช้ชีวิตอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาดูจะไม่มีทางเลือกในการบริโภคอาหารเหมือนถูกบังคับให้ทานพืชและสัตว์
GMO มันรู้สึกเหมือนเป็นการสะสมสารพิษในร่างกายซึ่งน่าจะแย่กว่าสารพิษที่มีในอาหารต่างๆ
อย่างอื่นซึ่งเราก็บริโภคได้บ้างเพราะประเทศไทยเรามีอาหารหลากหลายให้บริโภค
เรื่องราวของ GMO ในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีภาพลักษณ์เป็นประเทศแห่งประชาธิปไตยและความเท่าเทียมทางสิทธิและเสรีภาพ
แท้ที่จริงนั้นกลับยากลำบากมากในการต่อสู้เพื่อให้ได้สิทธิอันชอบธรรมนั้นและช่างไม่น่าภูมิใจเลยกลับสิทธิการได้ทานอาหาร
GMO ถ้วนหน้าถึงกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้รู้สึกโชคดีที่ประเทศไทยยังอยู่ภายใต้องค์กรที่ดูแลสุขภาพอนามัยของประชากรในโลกอย่าง
FAO/WHO แต่กระนั้นก็ไม่สามารถไว้วางใจได้เลยที่จะไม่ติดตามสถานการณ์
เพราะอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอบนโลกใบนี้เพราะความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน
การแทรกแซงของพืช GMO
พืช GMO เป็นอีกหนึ่งแหล่งของวัตถุดิบอาหารที่อาจมีการนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร
สถานการณ์การลุกล้ำเข้ามาทดแทนพันธุ์พืชปกติช่างเป็นสิ่งที่ต้องคอยติดตาม
มีปัญหามากมายที่ยังคงต้องถกกันต่อไปไม่จบสิ้นแน่นอน http://www.thaibiotech.info/disadvantages-of-gmos.php ทั้งเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ห่วงโซ่อาหารในธรรมชาติ
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต ผลกระทบต่อร่างกายผู้บริโภค โครงสร้างของวัตถุดิบธรรมชาติที่มีส่วนประกอบเป็นของเทียมที่ได้มาจากสิ่งมีชีวิตอื่นจะกระทบต่อร่างกายมากน้อยแค่ไหน
จะมีผลทำให้เกิดอาการแพ้หรือไม่ ร่างกายเสียสมดุลหรือเปล่า
แบคทีเรียในร่างกายรับชิ้นส่วนยีนที่มาจากไวรัสแล้วจะเกิดการต่อต้านยาปฏิชีวนะหรือไม่
และผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจที่เป็นที่ทราบกันดีว่า ผลงานทรัพย์สินทางปัญญา
สิ่งประดิษฐ์มีชีวิตเหล่านั้นหากผู้อื่นต้องการครอบครอง
แน่นอนว่าจะต้องจ่ายค่าใช้สิทธิบัตร
นั่นยิ่งเป็นการยอมตกเป็นเบี้ยล่างของบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศมหาอำนาจอย่าง
มอนซานโต้
http://www.gotomanager.com/news/printnews.aspx?id=94786
ถ้าไม่ตามข่าวก็คงไม่ทราบรายละเอียดความเป็นไปที่คิดว่าประเทศยุโรปปฏิเสธการยอมรับ
GMO ตามข่าวดังกล่าวจากเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการได้รายงานว่ายังมีการดำเนินงานวิจัยและการรณรงค์ทางการตลาดเพื่อส่งเสริมอาหาร
GMO ในเบลเยียมและเนเธอร์แลนด์
และแน่นอนว่าสถานการณ์ต่อมาก็คือมีความขัดแย้งกับผู้ไม่เห็นด้วย
เป็นเรื่องเป็นราวเป็นคดีความในความพยายามต่อต้านงานวิจัย GMO ของนักวิจัยกันต่อไป
แนวโน้มของสถานการณ์ในประเทศต่างๆ
อย่างยุโรปยังอยู่ในภาวะเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหากมีรัฐบาลเป็นแกนนำดังเช่นตามที่ข่าวเสนอเพื่อให้เกิดการยอมรับพืช
GMO มาปลูกเป็นอาหารก็ยากที่จะจับทิศทางการปนเปื้อนเข้ามาในห่วงโซ่อาหาร
แล้วประเทศไทยล่ะ??? ยิ่งมีปัญหาแห้งแล้ง ฝนตกไม่ทั่วถึงบ้าง
ตกมากจนน้ำท่วมบ้าง แมลงศัตรูพืชมาก ฯลฯ
ปัญหาต่างๆเหล่านี้กลับจะเป็นวัตถุดิบข้อมูลให้บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างมอนซานโต้นำไปคิดค้นพืช
GMO ใหม่ๆ
เพื่อนำมาเสนอเป็นทางเลือกแก้โจทย์ประเด็นปัญหาความมั่นคงทางอาหารให้แก่ประชากรทั่วโลก
ถ้าหากฝ่ายอนุรักษ์นิยมไม่สามารถตามแก้ปัญหาได้ทันและทั่วถึง
ก็เป็นการยากที่จะควบคุมการทะลัก การปลอมปนของพืช GMO ต่างๆ
ดังที่เคยมีกรณีมีการปล่อยให้ปนในแปลงเกษตรในหลายจังหวัดในหลายปีที่ผ่านมา http://www.ryt9.com/s/tpd/794584 หรืออย่างเช่นกรณีสงสัยมะนาวราคาถูกที่ทะลักมาจากประเทศเขมรและเวียดนามเมื่อเร็วๆ
นี้ http://www.komchadluek.net/detail/20120308/124924.........
ประกอบกับธุรกิจที่มีอิทธิพลอย่างเช่นกรณีมอนซานโต้
ซึ่งมีสาขาที่เป็นตัวแทนจำหน่ายในหลายจังหวัดในประเทศไทยและอยู่ในหลายๆ
ประเทศทั่วโลกด้วย http://www.monsanto.com/whoweare/Pages/thailand.aspx
http://www.monsanto.com/Pages/default.aspx
กรณีอยู่ในแถบต่างจังหวัดซึ่งคลุกคลีกับเกษตรกร ไม่แน่ว่าอาจมีการดำเนินนโยบายทางการตลาดเพื่อให้เกษตรยอมรับพืช
GMO โดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้
เรื่องของห่วงโซ่อาหารเป็นสิ่งที่ควบคุมยากจริงๆ
อย่างเช่น กรณีของการนิยมนำเข้าถั่วเหลืองจากประเทศแถบทวีปอเมริกามาหีบเป็นน้ำมันพืชแล้วขายกากเป็นอาหารสัตว์
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=nahoad&month=05-04-2006&group=5&gblog=5
ประเด็นอาหารสัตว์......รู้สึกจะเป็นจุดตายของปัญหาความปลอดภัยของอาหารหลายกรณี
มันมาจากอาหารสัตว์อีกแล้ว แล้วแน่นอนว่ามันก็ต้องเป็นส่วนหนึ่งในเนื้อสัตว์
และนั่นมันก็คงเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของเราไปแล้ว.....หรือเปล่า ????ฌ?ฯ
การประเมินความปลอดภันในอาหาร....สิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นทีนี่ ที่ประเทศไทย
เมื่อมีการคิดค้นสารเจือปนในอาหารตัวใหม่ออกมา
สำหรับประเทศที่ต้องมีการยื่นเอกสารขออนุญาตใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารก่อนที่จะทำการจำหน่ายและ/หรือขอจดทะเบียนผลิตภัณฑ์ คาดว่าประเทศนั้นคงเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มักมีความคิดสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ
มีเงินทุน มีศักยภาพในการผลิต
และประเทศนั้นต้องมีระบบรองรับในการประเมินความปลอดภัย เพราะขั้นตอนการดำเนินการ
ขอบเขตการวิจัย/ทดลอง รวมถึงบุคลากรและเงินทุนคงต้องใช้ทรัพยาการต่างๆ
ตรงนี้มากทีเดียว
ในแนวทางการประเมินความปลอดภัยนั้น
หลังจากที่ทราบคุณสมบัติทางเคมีและกายภาพของสารเคมีดังกล่าวแล้วก็ต้องมีการประเมินการสัมผัสหรือการบริโภคนั่นเอง
ซึ่งต้องให้ได้มาทั้งข้อมูลปริมาณและโอกาส ประเด็นนี้คงเป็นขั้นตอนและการดำเนินงานที่ต้องใช้ผู้รับผิดชอบจำนวนไม่น้อยในการออกสำรวจเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลจำนวนมากเพียงพอที่จะเป็นตัวแทนประชากรระดับประเทศได้
เมื่อได้ปริมาณที่เป็นตัวแทนแล้วก็ต้องผ่านกระบวนการทดลองกับสัตว์ทดลองหลายขั้นตอนมากมาย
และสารบางตัวอาจจะต้องทดสอบถึงระดับความเป็นพิษเรื้อรังซึ่งอาจต้องใช้เวลานานเป็นปีๆ
ดังนั้นโดยสภาพของอุตสาหกรรมในประเทศไทยโดยเฉพาะอุตสาหกรรมขนาดเล็กและขนาดกลางก็มักจะใช้สารเจือปนในอาหารอย่างง่ายที่เรียกกันว่า
GRAS (Generally recognized as safe) เช่น เกลือ น้ำตาล น้ำปลา ผงชูรส แบะแซ (glucose
syrup) แต่ถ้าเป็นอุตสาหกรรมอาหารขนาดใหญ่
อุตสาหกรรมร่วมทุนข้ามชาติก็จะมีการใช้องค์ความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การอาหารเข้ามาช่วยในการปรับปรุงคุณลักษณะของอาหารให้มีคุณภาพดี
มีลักษณะเหมาะสมในการรับประทานซึ่งก็มีการนำสารเจือปนต่างๆ มากมายมาใช้
ในประเทศไทยเองไม่ค่อยมีผู้ผลิตสารเจือปนชนิดใหม่ๆ เมื่อบริษัทต้องการจะใช้งานก็จะมีการนำเข้าจากประเทศผู้ผลิตโดยการขออนุญาตกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาก็จะใช้ผลการประเมินความปลอดภัยที่วิเคราะห์มาจากประเทศที่ผลิตนั้น
ดังเช่นกรณี กลุ่มบริษัทอายิโนะโมะโต๊ะซึ่งมีบริษัทผลิต seasoning อยู่ทั่วโลก http://www.ajinomoto.com.my/2009/en/features/map.html http://www.ajinomoto.com/contact_us/index.html ซึ่งก็จะมีการสนับสนุนเพื่อการผลิตผลิตภัณฑ์อื่นของบริษัทในเครือที่ตั้งอยู่ทั่วโลก
เช่นบริษัทผลิตอาหารแช่แข็ง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น http://www.ajinomoto.com/overview/index.html
การประเมินความปลอดภัยในอาหาร
จากการค้นคว้า search ข้อมูลเกี่ยวกับ genetic
toxicology Testing พบว่าในปัจจุบันมีวิธีการต่างๆ มากมายในการใช้ทดสอบความเป็นพิษด้านพันธุกรรมของสารเคมีต่างๆ โดยประเทศที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มากคือ สหรัฐอเมริกาและประเทศในแถบทวีปยุโรป
มีข้อสังเกตว่าในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีการจัดตั้งหน่วยงานเพื่อดูแลด้านนี้
ได้แก่ แผนกพิษวิทยาพันธุกรรมและโมเลกุล (Genetic and Molecular Toxicology)
ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดของ FDA มีการกำหนดขอบเขตงานอย่างหนึ่งคือการวิจัยหาสารพิษที่มาจากอาหารโดยให้ความสำคัญอันดับหนึ่งกับการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
http://www.fda.gov/AboutFDA/CentersOffices/OC/OfficeofScientificandMedicalPrograms/NCTR/WhatWeDo/ResearchDivisions/ucm079025.htm ประเด็นนี้ทำให้นึกถึงสภาพการใช้ชีวิตของสังคมอเมริกันที่อาจารย์ชณิพรรณและพี่หมอต่อศักดิ์เคยเล่าให้ฟังว่า
คนอเมริกันนิยมรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกันมาก ทานกันทีละเป็นกำมือ
อีกทั้งผลิตภัณฑ์ยังสามารถวางจำหน่ายผ่านระบบที่ไม่ต้องมีการตรวจประเมินความปลอดภัยเพื่อขออนุญาตกับFDA
ด้วยซึ่งแตกต่างจากประเทศไทย
เบื้องต้นก็คงคิดว่าเพราะเป็นประเทศที่มีการปกครองแบบให้สิทธิเสรีภาพกับประชาชนเต็มที่
แต่เบื้องลึกก็อาจมาจากอิทธิพลของนักธุรกิจการเมืองทั้งหลาย
ที่จริงแล้วเป็นวิธีการแบบไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาชัดๆ
หากเจ็บป่วยถึงตายกันก็ค่อยจะมาฟ้องร้องกันเอาทีหลัง
ซึ่งมันไม่คุ้มเลยกับการสูญเสียโอกาสการใช้ชีวิตที่ปกติ
ก็เป็นประเด็นที่น่าสงสัยว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะตรวจสอบได้ทันกับการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ของภาคธุรกิจหรือไม่
ส่วนอีกข้อมูลหนึ่งที่ค้นเจอเป็นเรื่องของภาคธุรกิจที่แสดงบทบาทเป็นผู้สนับสนุนการดำเนินงานวิจัยเพื่อปกป้องมนุษย์
สัตว์และสิ่งแวดล้อมและมุ่งลดจำนวนการใช้สัตว์ในงานประเมินทางพิษวิทยา
นั่นคือบริษัท Procter & Gamble (P&G) ได้มีการจัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาดำเนินงานร่วมกับ
Alternatives Research & Development Foundation, American Chemistry Council, The Humane society of the United
States, Human toxicology project
consortium, American cleaning
institute for better living http://alttox.org/ttrc/toxicity-tests/carcinogenicity/way-forward/aardema/
โดยมีการร่วมมือกันปรับปรุงวิธีการทดลองและคิดค้นวิธีการใหม่ๆ ในแบบ
in vitro และ in silico (http://en.wikipedia.org/wiki/In_silico) คำศัพท์นี้เป็นคำใหม่ที่ไม่เคยทราบมาก่อน
เข้าใจว่าเป็นการใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยจำลองสถานการณ์การก่อพิษในสิ่งมีชีวิต
ซึ่งถ้าหากนักพิษวิทยาสามารถหาข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็นเกี่ยวกับสารพิษต่างๆ
ที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว เช่น ลักษณะด้านกายภาพ เคมี เภสัชจลศาสตร์
ประวัติการก่อพิษ ฯลฯ จนนักคอมพิวเตอร์สามารถสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อทำนายการก่อพิษจากโครงสร้างของสารเคมีและแนวทางความเป็นพิษต่ออวัยวะเป้าหมายได้สำเร็จและถูกต้อง
วันนั้นคงเป็นข่าวดีของมนุษยชาติอย่างมากที่จะสามารถใช้วิธีที่ง่ายดาย
สามารถช่วยรักษาชีวิตของสัตว์ไปได้มาก
แต่ก็ไม่ทราบว่าจะนานมากแค่ไหนที่จะทำได้เช่นนั้น
เมื่อวันนั้นมาถึงสภาพชีวิตของนักพิษวิทยาคงต้องเปลี่ยนไปแน่นอนอย่างน้อยก็พอมองออกว่านั่นเป็นการใช้แรงงานมนุษย์ที่น้อยลง
http://www.gta-us.org/scimtgs/2011Meeting/posters2011.html
Food Safety Evaluation
HACCP (Hazard Analysis and Critical Control
Point) เป็นระบบวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุมที่ใช้ในการจัดการอันตรายที่อาจติดมากับตัววัตถุดิบและที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการแปรรูปอาหารซึ่งตัวเองได้รับความรู้มาตั้งแต่เมื่อครั้งที่เรียนปริญญาตรีและได้ร่วมจัดทำกับทางบริษัทเมื่อตอนทำงาน
นอกจากนั้นเคยได้รับการอบรมเพิ่มเติมในเรื่องระบบการจัดการความปลอดภัยอาหารอื่นที่เข้มงวดขึ้นไปอีก
เช่น การวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk analysis) ประกอบด้วย
การประเมินความเสี่ยง (Risk assessment) การจัดการความเสี่ยง
(Risk management) และการสื่อสารความเสี่ยง (Risk
communication) http://www.foodriskhub.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539311398&Ntype=3
จากการที่ได้อบรมครั้งนั้นทางบริษัทก็ยังไม่ได้นำมาบังคับใช้และจำได้แต่เพียงว่า
มันได้มีการเรียนความรู้ใหม่ๆ มีเรื่องของระดับความเจ็บป่วยของการได้รับอันตราย
มีการต้องอาศัยข้อมูลทางระบาดวิทยา จากประเด็นความรู้ใหม่ในครั้งนั้นสู่การเรียนในเรื่องพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ
จึงได้มีแนวความคิดว่าความรู้ที่ได้ในระหว่างการเรียนหลักสูตรนี้น่าจะตอบโจทย์ที่มาของหลักการที่ใช้ในการประเมินระดับความเสี่ยงของอันตรายที่อาจมีในอาหารดังกล่าวได้
การประเมินความปลอดภัยของสารเคมีในอาหาร
ที่กำลังเรียนอยู่นี้ก็เป็นที่มาที่จะนำไปใช้ในการประเมินความเสี่ยงตามระบบดังกล่าวในส่วนของอันตรายด้านเคมีนั่นเอง
โดยจากการค้นคว้าเพิ่มเติม http://www.foodnetworksolution.com/vocab/wordcap/risk%20assessment พบว่าการประเมินความเสี่ยงมีอยู่
4 ขั้นตอน คือ การระบุอันตราย (Hazard
Identification) การประเมินการตอบสนองต่อปริมาณ (Dose-response
assessment) การประเมินการได้รับสัมผัส (Exposure
Assessment) การแสดงลักษณะเฉพาะของความเสี่ยง (Risk
Characterization)
การระบุอันตราย ในระบบการวิเคราะห์อันตรายนี้ จะคล้ายกับการการระบุอันตรายที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบ
HACCP ในหลักการที่ 1 เรื่องการดำเนินการวิเคราะห์อันตรายใน
3 ด้าน คือ กายภาพ เคมีและชีวภาพ http://www.kmitl.ac.th/foodeng/St-homepage/Code43/43010621/Hazard%20Analysis%20and%20Critical%20Control%20Point%20(HACCP)%20System.htm
แต่ในระบบวิเคราะห์อันตรายจะให้พิจารณาอันตรายโดยเฉพาะในด้านเคมีและชีวภาพเนื่องจากการก่อพิษจะหลากหลายกว่าอันตรายด้านภายภาพที่จะชัดเจนอยู่ที่การทำให้บาดเจ็บที่ปาก และระบบนี้จะเน้นพิจารณาอันตรายที่มีพื้นฐานข้อมูลทางระบาดวิทยา การศึกษาทางระบาดวิทยา การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลัน (Acute toxicity) การทดสอบพิษกึ่งเฉียบพลัน (Subchronic toxicity) การทดสอบระยะยาว (Long term studies) การศึกษาการเกิดมะเร็ง (Carcinogenicity studies) การศึกษาการก่อกลายพันธุ์ (Mutagenic studies) การศึกษาในเชิงเมแธบอลิซึม (Metabolism) การศึกษาการเกิดลูกวิรูป (Teratogenic studies) และการศึกษาผลต่อระบบสืบพันธุ์ (Reproductive effect studies)
แต่ในระบบวิเคราะห์อันตรายจะให้พิจารณาอันตรายโดยเฉพาะในด้านเคมีและชีวภาพเนื่องจากการก่อพิษจะหลากหลายกว่าอันตรายด้านภายภาพที่จะชัดเจนอยู่ที่การทำให้บาดเจ็บที่ปาก และระบบนี้จะเน้นพิจารณาอันตรายที่มีพื้นฐานข้อมูลทางระบาดวิทยา การศึกษาทางระบาดวิทยา การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลัน (Acute toxicity) การทดสอบพิษกึ่งเฉียบพลัน (Subchronic toxicity) การทดสอบระยะยาว (Long term studies) การศึกษาการเกิดมะเร็ง (Carcinogenicity studies) การศึกษาการก่อกลายพันธุ์ (Mutagenic studies) การศึกษาในเชิงเมแธบอลิซึม (Metabolism) การศึกษาการเกิดลูกวิรูป (Teratogenic studies) และการศึกษาผลต่อระบบสืบพันธุ์ (Reproductive effect studies)
การประเมินการตอบสนองต่อปริมาณ ก็เป็นการประยุกต์ข้อมูลความรู้ด้านพิษวิทยาจากข้อมูลเชิงระบาดวิทยาและการทดลองในสัตว์มาใช้เพื่อประเมินข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับขนาดและการตอบสนองต่อสิ่งที่เป็นอันตรายในแง่คุณภาพและปริมาณ
ซึ่งคนที่ทำงานที่โรงงานอาหารส่วนใหญ่ก็มีความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร
ประเด็นนี้จึงคงเป็นเรื่องปวดหัวทีเดียวหากบริษัทไหนที่เริ่มทำระบบเพราะต้องมานั่งเรียนสิ่งใหม่ๆ
ที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน
การประเมินการได้รับสัมผัส “เป็นการประเมินในเชิงคุณภาพหรือในเชิงปริมาณถึงความเป็นไปได้ที่ผู้บริโภคหนึ่งคนหรือประชากรหนึ่งกลุ่มจะได้รับสารพิษหรือจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคผ่านทางอาหารเข้าสู่ร่างกายรวมทั้งปริมาณที่ได้รับ”
ประเด็นนี้ก็อาจเป็นได้ทั้งในส่วนที่มีงานศึกษาวิจัยทำไว้
แต่ถ้าหากไม่มีทางบริษัทก็ต้องประเมินเองตามแนวทางของข้อมูลโภชนาการที่กำหนดหนึ่งหน่วยบริโภคไว้ประกอบกับการพิจารณาความถี่ของการรับประทานด้วย
การแสดงลักษณะเฉพาะของความเสี่ยง เป็นการรวมเอาข้อมูลและผลการวิเคราะห์จากทั้ง 3
ขั้นตอนข้างต้นมาใช้ระบุถึงโอกาสที่ผู้บริโภคจะได้รับอันตรายและความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการได้รับสารพิษและเชื้อจุลินทรีย์
แล้วอาจจะสื่อออกมาเป็น
ระดับความรุนแรงซึ่งตามระบบการจัดการมักจะต้องการให้มีการจัดลำดับความสำคัญเพื่อให้ผู้ประกอบการผลิตอาหารมีการจัดการที่เหมาะสมตามลำดับความสำคัญนั้นและมีการสื่อสารความเสี่ยงเพื่อให้การจัดทำระบบมีประสิทธิภาพและเกิดสัมฤทธิผล
ขั้นตอนต่างๆ ในระบบการประเมินความเสี่ยงสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร http://www.nfi.or.th/th/activity-detail.php?tid=207 เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำความเข้าใจเพื่อจัดทำระบบโดยเฉพาะบริษัทที่มีการส่งอาหารออกไปจำหน่ายยังประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งต้องการให้บริษัทส่งออกมีการดำเนินการให้ผ่านเกณฑ์ของระบบต่างๆ
เช่น BRC, IFS, SQF, FSSC 22000 เป็นต้น
การได้มาเรียนหลักสูตรพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการก็จะมีประโยชน์ในการเป็นฐานความรู้ให้เกิดความเข้าใจถึงที่มาในการกำหนดค่าหรือระดับของสารต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับอาหารอันอาจก่ออันตรายต่อผู้บริโภคได้
ซึ่งก็จะช่วยให้เกิดความเข้าใจเมื่อได้มีส่วนร่วมในการดำเนินการจัดทำระบบดังกล่าว
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)